สรุปสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก 2568 ผ่าน 5 สถิติน่าสนใจ

สรุปสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก 2568 ผ่าน 5 สถิติน่าสนใจ

SET Index มีผลงานต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 46 ดัชนีหลักทั่วโลก ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ระบุว่า SET Index เป็นดัชนีที่มีผลงานต่ำที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีอื่นๆ เช่น S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 5.13%, Hang Seng +20%, Nikkei 225 +1.49% ในช่วงเวลาเดียวกัน และ MSCI World ที่ทำผลตอบแทนครึ่งปีแรกได้อยู่ที่ 8.32% 

สวัสดีครับ ก็ผ่านกันไปแล้วสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2568 มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเรื่องตื่นเต้นมากมาย หลายสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างแผ่นดินไหวก็เกิดขึ้น และมีอีกหลายข่าวที่ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้นไทย วันนี้ผมจะขอให้คุณปิติพงษ์ รุ่งเรืองวุฒิกุล CFP® ผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางแผนการเงินของบริษัท Wealth Creation International Investment Advisory Security Co., Ltd. จะมาสรุปสถิติและมุมมองของตลาดช่วงที่ผ่านมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันครับ

ผลตอบแทน SET Index ช่วงครึ่งปีแรก ต่ำสุดในรอบ 25 ปี : สำหรับตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีแรกของปี 2568 นี้ถือว่ายังทำผลตอบแทนได้ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของนักลงทุนสักเท่าไร โดยผลการดำเนินงานของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ดัชนีปิดทำการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่ระดับ 1,089.56 จุด ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทน −22.70% นับจากต้นปี (Year-to-Date) ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 25 ปี โดยในครั้งสุดท้ายที่ตลาดหุ้นไทย ทำผลตอบแทนติดลบรุนแรงในครึ่งปีแรกแบบนี้ เกิดขึ้นในปี 2543 โดยในปีนั้นตลาดหุ้นไทยเปิดปีที่ 481.92 จุด และปิดตลาดในเดือนมิถุนายนที่ 325.69 จุด คิดเป็นผลตอบแทน -32.42% จากวิกฤติภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม 

ผลงานรั้งท้าย เมื่อเทียบตลาดหุ้นโลก : ด้วยผลตอบแทนที่ 22.76% ทำให้ SET Index มีผลงานต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 46 ดัชนีหลักทั่วโลก โดยอ้างอิงข้อมูลข้อมูลจาก Investing.com ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ระบุว่า SET Index เป็นดัชนีที่มีผลงานต่ำที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีอื่นๆ เช่น S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 5.13%, Hang Seng +20%, Nikkei 225 +1.49% ในช่วงเวลาเดียวกัน และ MSCI World ที่ทำผลตอบแทนครึ่งปีแรกได้อยู่ที่ 8.32% 

Fund Flow ต่างชาติไหลออก : กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Fund Flow) ยังอยู่ในทิศทางขายออก โดย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติได้เทขายสุทธิหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีเป็นมูลค่า -78,692.76 ล้านบาท โดยแนวโน้ม การไหลออกของเงินลงทุนในปี 2568 เกิดขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน หลังจากที่ต่างชาติได้เทขายอย่างออกไปก่อนแล้วในปี 2566 และ 2567 ก่อนที่ปี 2568 จะเริ่มต้นขึ้น ยอดขายสุทธิสะสมในช่วง 2 ปีก่อนรวมแล้วอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยจากสถิติแล้วในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ -115,983.43 ล้านบาท (ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 67), และครึ่งปีแรกของปี 2566 ยอดขายสุทธิอยู่ที่ -105,622.97 ล้านบาท (ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 66)

ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย ต่ำสุดในรอบ 5 ปี : นอกเหนือจากทิศทางของดัชนีและเงินทุนแล้ว “ความคึกคัก” หรือสภาพคล่องของตลาดก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญ โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตลาดหุ้นไทยได้เข้าสู่ภาวะซบเซา โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของทั้ง SET และ mai ในช่วง 5 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 42,272 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีก่อนหน้า โดยหากพิจารณาเทียบจากปีก่อนๆจะพบว่า 

ครึ่งปีแรก 2567 (H1 2024): มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 45,240 ล้านบาทต่อวัน 

ครึ่งปีแรก 2566 (H1 2023): มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 58,677 ล้านบาทต่อวัน 

ครึ่งปีแรก 2565 (H1 2022): มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 83,960 ล้านบาทต่อวัน 

ครึ่งปีแรก 2564 (H1 2021): เป็นช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงที่สุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 98,330 ล้านบาทต่อวัน 

จำนวนบัญชี Active รายเดือน ลดลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี : สถิติตัวสุดท้าย นั่นคือการลดจำนวนลงของนักลงทุนรายย่อย โดย ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า จำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการใช้งาน (Active Accounts) ในแต่ละเดือน ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี โดยข้อมูลล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนบัญชีที่ยังคงซื้อขายอยู่ที่ 369,836 บัญชี 

ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการลดลงของนักลงทุนรายย่อยที่เข้าลงทุนในตลาด โดยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ มานั้น 

พ.ค. 2564 ประมาณ 842,393 บัญชี

พ.ค. 2565 ประมาณ 632,118 บัญชี ลดลง -24.96%

พ.ค. 2566 ประมาณ 493,427 บัญชี ลดลง -21.94%

พ.ค. 2567 ประมาณ 455,495 บัญชี ลดลง -7.69%

พ.ค. 2568 ประมาณ 369,836 บัญชี ลดลง -18.79%

จากสถิติที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 นั้น ทั้งทิศทางของดัชนี , การไหลเข้าของเงินทุน, ปริมาณการซื้อขาย รวมไปถึงจำนวนนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างมีนัยยะ อย่างไรก็ตามในสถาณการณ์ที่ยากลำบาก ย่อมมีโอกาส ทั้งนี้จากข้อมูลในอดีต ตลาดหุ้นไทยก็ผ่านเหตุการณ์วิกฤติมาได้หลายครั้ง คงต้องมาดูกันต่อในครึ่งปีหลังว่าจะมีปัจจัยบวกอะไรบ้าง ที่มาช่วยเรียกความคึกคักของตลาดหุ้นไทย ให้กลับมาได้อีกครั้ง โดยทั้งนี้นักลงทุนยังคงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัท เพื่อที่จะนำทางผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความผันผวนนี้ไปให้ได้ครับ