การเมืองไทยและต่างประเทศรุมเร้า กระจายการลงทุนเป็นทางรอด

การเมืองไทยและต่างประเทศรุมเร้า กระจายการลงทุนเป็นทางรอด

พอร์ตลงทุนเดือน กรกฎาคมความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้นแนวรับที่ระดับ 1,050 จุด ทำงานได้ดี และเริ่มมีต่างชาติทยอยเข้าซื้อ แต่อย่าลืมว่าปัญหาของไทยยังคงอยู่ การลงทุนแบบกระจายตะกร้ายังคงเป็นกลยุทธ์ ที่ดี การลงทุนในหุ้น นอกจากไทยแล้ว ควรมี จีน อินเดีย และอเมริกา เป็นสัดส่วนเท่าๆกัน รวมกันไม่เกิน 50%

ภาพการลงทุนในเดือนมิถุนายน ยังคงไม่แตกต่างจากเดือนก่อนหน้านั้น ปัจจัยลบในประเทศยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชะลอตัวลงของการบริโภคในประเทศ ปริมาณนักท่องเที่ยวที่ลดลง และความล่าช้าของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา ที่ขยายตัวไปถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศ ส่วนปัจจัยลบในต่างประเทศกลับมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของ รัสเซีย ยูเครน และที่ดูน่ากังวลมากขึ้น คือ อิสราเอล กับ ฮอมุสส์ ที่ขยายตัวเป็น อิหร่าน สุดท้าย เรื่องการเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯ กับ ทั่วโลก อันเนื่องมาจาก ภาษีเท่าเทียม หรือ Reciprocal tariff ปัจจัยสุดท้ายอันนี้ยังไม่จบแต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

มาเริ่มกันที่ต่างประเทศ ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 โดยในส่วนของ GDP โลกนั้น ถูกปรับลดการขยายตัวเหลือ 2.3% จากคาดการณ์เดิมในเดือนมกราคมที่ 2.7% ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ระหว่างเดือน หลังอิหร่านและอิสราเอลเปิดฉากโจมตีกัน และเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ถล่มโรงงานพัฒนายูเรเนียมของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนปรับตัวดีขึ้น หลังประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯได้ประกาศผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียว่า อิสราเอลและอิหร่านได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงอย่างสมบูรณ์และสิ้นสุดความขัดแย้งทางทหารที่ยืดเยื้อมานาน 12 วัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น และราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างรวดเร็ว Fed มีมติคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุดที่ระดับ 4.25-4.50% คาดว่าในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยจะยังทรงตัวที่ระดับเดิม แต่ยังคงความคาดหวังว่า อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ 0.50% ในการประชุม ครั้งถัดไป 

กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออก นำเข้าของไทยประจำเดือนพฤษภาคม ปรากฏว่ายอดส่งออกรวมขยายตัว 18.3% สูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 10.2% โดยยอดส่งออกที่หักทองคำไปแล้ว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ขยายตัวได้ 17.5% เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัว 7.2% ทั้งนี้ การส่งออกไปยังประเทศสำคัญเช่นสหรัฐฯและจีน ต่างขยายตัวในระดับสูงมาก (เพิ่มขึ้น 35%และ28%ตามลำดับ) บ่งชี้ถึงการกลับมาเร่งส่งออก หลังในช่วงดังกล่าวประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯประกาศยกเว้น Reciprocal tariff ให้ 90 วัน คณะกรรมการนโยบายการเงินคงดอกเบี้ยนโยบายตามคาดที่ 1.75% 

โดยในครั้งนี้ ธปท. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้จาก +2.0% เป็น +2.3% และปรับลดคาดการณ์ GDP ปีหน้าลงเล็กน้อยจาก +1.8% เป็น +1.7% และในช่วงท้ายสัปดาห์ รัฐบาลก็ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศวงเงิน 1.1 แสนล้านบาท ออกมาโดยเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานในหลากหลายภาคส่วน ส่วนเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นปัจจัยที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและคนไทยเป็นส่วนใหญ่ คือการถอนตัวของพรรคภูมิใจออกจากการร่วมรัฐบาล และคลิปเสียงของท่านนายกฯที่หลุดออกมา ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนและจากการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของปัญหาทางการเมืองที่อาจจะสั่นคลอน

ความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพของรัฐบาล และอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็เป็นได้

สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม ประเมินว่าจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของ 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ 1) ทิศทางของสงครามการค้า เนื่องจากในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ จะครบกำหนด 90 วันที่สหรัฐฯมีการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) แล้ว ซึ่งถ้าหากเส้นตายนี้ถูกเลื่อนออกไป มองว่า Sentiment การลงทุนทั่วโลกน่าจะยังคงถูกประคับประคองต่อไปได้ และ 2) ทิศทางของปัจจัยการเมืองในประเทศ ซึ่งมีหลายประเด็นที่รออยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ความคืบหน้าของการฟ้องยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีฯ, การเดินหน้าพิจารณาของสภาฯต่อพรบ. Entertainment Complex, ความคืบหน้าคดีฮั่วสว. และคดีชั้น 14 ของคุณทักษิณ รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา

พอร์ตการลงทุนเดือน กรกฎาคม ผมมองว่า ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้นเนื่องจากแนวรับที่ระดับ 1,050 จุด ทำงานได้ดี และเริ่มมีต่างชาติทยอยเข้าซื้อหุ้นไทย แต่อย่าลืมว่าปัญหาของประเทศไทยยังคงอยู่ การลงทุนแบบกระจายตะกร้ายังคงเป็นกลยุทธ์ ที่ดี การลงทุนในหุ้น นอกจากไทยแล้ว ควรมี จีน อินเดีย และอเมริกา เป็นสัดส่วนเท่าๆกัน รวมกันไม่เกิน 50% ส่วนตราสารหนี้ แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ ระยะ 3-5 ปี และหุ้นกู้เอกชน ในระดับมากกว่า investment grade 1 ระดับ เพื่อลดความเสี่ยงด้าน Credit risk และสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ดีการลงทุนใน พันธบัตรสหรัฐอเมริกา อายุ 1-3 ปี ที่ให้ผลตอบแทนระหว่าง 3.75-4.0% เพราะพันธบัตรสหรัฐฯ มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ถือว่าน่าสนใจสำหรับระยะเวลา 1-3 เดือน