คุณค่า ความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ

คุณค่า ความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ

การปรับพอร์ตลงทุนที่ถี่เกินไปอาจไม่เป็นผลดีต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว การ “Buy & Hold” ในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ยังเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับปี 2025

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนมากที่สุดตลาดหนึ่ง โดยในช่วงต้นปี (ม.ค.) ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 6,000 จุด เป็นครั้งแรก ก่อนจะเกิดการปรับฐาน จากนั้นกลับมาฟื้นตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเดือน ก.พ. 2025 (จุดสูงสุดของดัชนีอยู่ที่ระดับ 6,147 จุด) ...  

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาตลาดหุ้นก็ปรับฐานอีกครั้ง โดยมีระยะเวลากว่า 3 เดือนก่อนการฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงระดับเดิม สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนก็มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความกังวลต่ออุตสาหกรรม AI สงครามการค้า-การขึ้นภาษีระหว่างกันของสหรัฐฯ กับคู่ค้าทั่วโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายระหว่างประเทศต่างๆ กับมหาอำนาจโลก ตลอดจนความกังวลต่อระดับหนี้สินของสหรัฐฯ และฐานะการคลัง เป็นต้น ปัจจัยลบเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนที่สูง ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสในการลงทุน และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เคยถูกมองว่าแพง มีช่วงเวลาที่ระดับ Valuation ถูกกว่าค่าเฉลี่ยโดยพิจารณาจาก Forward P/E ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา

หากจะวิเคราะห์หรือวิจารณ์ความถูกแพงของหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 3 ปี หลัง (2023-2025) จะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อขายในระดับ Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่เกือบตลอดเวลา (หุ้นสหรัฐฯ แพงเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต) ซึ่งอีกมุมหนึ่งอาจต้องมองว่าเป็นเรื่องปกติ.. ดังนั้นนักลงทุนควรพิจารณาถึง “คุณค่า” ของความแพงในหุ้นแต่ละกลุ่มว่ามีความสมเหตุผลหรือไม่? หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า เบื้องต้นหากอ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของ Goldman Sachs Securities, US Weekly Kickstart “Large-cap outperformance should continue amid below-trend economic growth and elevated rates” ณ วันที่ 15 พ.ค. 2025 (เลือกใช้ช่วงเวลาดังกล่าวมาอ้างอิงเพราะเป็นช่วงที่นักวิเคราะห์ได้มีการปรับประมาณการแล้ว หลังจากการเจรจาการค้ามีความคืบหน้า) บริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม 7 นางฟ้ามีการเติบโตของกำไรที่สูงอย่างต่อเนื่อง ผลประกอบการช่วง 1Q25 มีระดับการเติบโตของกำไรราว 28%YoY เทียบกับบริษัทที่เหลือในดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกันที่กำไรเติบโตเพียง 9%YoY ในส่วนของ Valuation นักวิเคราะห์ประเมิน NTM P/E ที่ 28x เทียบกับบริษัทที่เหลือในดัชนี S&P500 (493) บริษัทที่มี NTM P/E ที่ 20x ตามลำดับ นอกจากนั้นแนวโน้มการเติบโตของกำไรกลุ่ม 7 นางฟ้า ในปี 2025-2026 ยังสูงอย่างต่อเนื่อง

บน “คุณค่า” และคุณภาพการเติบโตของกำไรบริษัทขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้น เราจึงประเมินความแพงของหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เป็นความแพงที่สมเหตุสมผล ซึ่งแตกต่างจากช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติฟองสบู่ของกลุ่มเทคโนโลยีในอดีต นอกจากนั้นการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีปัจจุบันก่อให้เกิดการลงทุนที่เป็นรูปธรรม ยกตัวอย่าง การลงทุนในอุตสาหกรรม AI/ควอนตัมคอมพิวเตอร์และอื่นๆ โดยบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain มีแนวโน้มของผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดด.. ดังนั้น ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างมีเหตุมีผลตามปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงเชิงบวก 

จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาข้างต้น เราจึงมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดหุ้นที่ควรลงทุน โดยใช้เป็นแกนหลักของพอร์ตการลงทุนแม้ในระหว่างทางความผันผวนของผลตอบแทนอาจสูง และมีแนวคิดที่ท้าทาย US Exceptionalism ยกตัวอย่าง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนตลาดค่าเงิน (Dollar Index อ่อนค่าลง เทียบกับสกุลอื่นๆ ใน Basket) และความกังวลในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ปรับตัวขึ้นสูง แต่สำหรับความแข็งแกร่งของภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เราคาดว่าจะทำให้ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ แม้ระดับราคาในปัจจุบันจะไม่ถูกเมื่อเทียบกับอดีต และอาจกล่าวได้ว่าหากนักลงทุนจัดวางสัดส่วนการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในระดับที่น้อยจนเกินไปก็อาจทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตไม่สามารถชนะตลาดโดยรวมได้

นอกจากนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องวิเคราะห์ข่าวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อแยกแยะระหว่างปัจจัยรบกวนหรือ Noise ของตลาดกับปัจจัยที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งมีความสำคัญมากกว่าให้ได้ เพื่อลดความผิดพลาดในการตัดสินใจรวมถึงลดความถี่ในการปรับสถานะการลงทุน เพราะการปรับพอร์ตลงทุนที่ถี่เกินไปอาจไม่เป็นผลดีต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว การ “Buy & Hold” ในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ยังเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับปี 2025 ด้วยเหตุผลที่เราได้กล่าวมา