รอสงครามทางการค้ารอบใหม่ เดือน พ.ค.

รอสงครามทางการค้ารอบใหม่ เดือน พ.ค.

พอร์ตการลงทุนเดือนพฤษภาคม หุ้นไทย SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมาก พอร์ตการลงทุน ยังคงหุ้น ไว้ที่ 50% เป็นสหรัฐฯ 15% ส่วน ยุโรป และ ญี่ปุ่น รวมกัน 10% เวียตนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 20% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนใน ทอง น้ำมัน และ รีทส์ รวมกันเป็น 10%

เดือนเมษายน ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าเป็นเดือนแห่งความมึนงงสับสนที่สุด เป็นเรื่องระดับโลก ที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เพียงคนเดียวสามารถสร้างความรุนแรงได้เท่านี้มาก่อน หลายสื่อต่างประเทศใช้คำต่างๆมากมาย เช่น Mad King อันนี้ผมไม่แปลให้นะครับไปหากันเองนะ โดยต่างก็สรุป ว่าเป็นผลมาจากน้ำมือมนุษย์เพียงผู้เดียวที่สามารถพังเศรษฐกิจทั้งโลกได้ (Man Made ) ทั้งหมดนี้ก็มาจากคุณธรัมป์ ประธานาธิบดี ของ สหรัฐอเมริกา 

ทั้งหมดก็เริ่มมาจาก การดำเนินนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน ต้องกลับมายิ่งใหญ่ อีกครั้ง” ทำให้มีการดำเนินนโยบายต่างๆ เช่น การลดขนาดองค์กรรัฐลง และตัดงบประมาณที่ช่วยสนับสนุนงานการกุศลทั่วโลก และการลดขนาดการช่วยเหลือ ยูเครน แต่ที่เด็ดสุด คือการประกาศอิสรภาพครั้งใหม่ของ อเมริกา คือการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆทั่วโลก โดยสหรัฐประกาศขึ้นภาษีทุกประเทศสำคัญๆ ที่ 10% มีผลในวันที่ 5 เมษายน และภาษี reciprocal ที่เพิ่มตามแต่ละประเทศ ระหว่าง 10%-100% โดยมีอัตราการปรับขึ้นแตกต่างกันไปตามการขาดดุลทางการค้าที่มาจากการกีดกันการค้าที่อยู่ในรูปของภาษี และที่ไม่ใช่ภาษี (Tariff & Non-Tariff) มีผลในวันที่ 9 เมษายน

โดยจีนประกาศภาษีตอบโต้สหรัฐฯทันที เพิ่มอีก 34% มีผล10 เมษายน แค่นี้ ก็พังกันไปทั้งโลก หนักสุดก็อเมริกา สัปดาห์แรกของเดือนเมษายน Dow Jones ลดลงไป 7.9% S&P 500 ลดลง 9.1% และ Nasdaq ลดลงไป10.0% จากความกังวลสงครามการค้าที่จะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถกถอย ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับลดล 0.20% สู่ระดับ 4.03% SET -50.24 จุด (-4.3%) สู่ระดับ 1125.21 จุด (อาจจะได้รับผลจากแผ่นดินไหวบ้าง กลุ่มที่โดนหนักก็อสังหาริมทรัพย์) นักเศรษฐศาสตร์ ระดับ รางวัลโนเบล ศาสตราจารย์ ครุกแมน ยังออกมาพูดว่า “คุณทรัมป์ เป็น คนเดียวที่ใช้เวลา เพียง 3 เดือน ในการทำลาย เครดิต และความน่าเชื่อถือ ของ เงินดอลล่าร์สหรัฐ และพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ที่มีมานานกว่า 85 ปี” ก็จะไม่ให้พูดได้ยังไง เพราะหลังจากที่ ประกาศ ขึ้น Reciprocal tariff ที่ อัตราภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นไปหมด ค่าเงินสหรัฐฯ ก็เหวี่ยงไปมา ทองคำราคาขึ้นแบบติดจรวด ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ก็เด้งขึ้นถึงขั้นที่ ธรัมป์ ต้องออกมาเบรก ว่า เอา 10% ก่อน ส่วนที่เหลือให้เวลา 90 วัน มาเจรจากัน ก็ทำให้สถานการณ์ลงทุนโดยรวมฟื้นตัวขึ้น หุ้นก็เด้ง ผลตอบแทนพันธบัตรก็ลง แต่กลายเป็นว่าเหลือคู่ชกคนเดียวคือจีน 

จากนั้นตามมาด้วยข่าวการตอบโต้กันไปมาระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน และหลายครั้งที่มีลักษณะอาการที่ออกมาในเชิงดูถูกทุกประเทศทั่วโลก ประมาณว่าผมไม่อยากเขียนนะครับ ท้ายสุดจะออกไปทางไหน คงตอบได้ยาก แต่จากความเห็นของผม ผมว่าประชาคมโลกคงจะต้องหาสมดุลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า เศรษฐกิจ และสังคม ยุค Globalization น่าจะจบที่จะเป็นการเจรจาการค้าแบบประโยชน์ต่างตอบแทน ในระดับพหุภาคี หรือแบบรายประเทศ แต่จะไม่มีนโยบายแบบเหมาเข่งอีกแล้ว ส่วนภาพชัดๆ จะเป็นยังไงคงต้องรอดูกันไป 1-2 ไตรมาส แต่ท้ายสุดย่อมไม่เหมือนเดิม แม้กระทั่งอเมริกา ที่มีการบริโภคแบบ Over Consumption ก็อาจจะมีบริบทในการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ส่วนประเทศเล็กๆอย่างเราก็ควรจะต้องทำตัวเป็นหลิวลู่ลมอย่าไปเลือกข้างแต่ควรเลือกประโยชน์และความจำเป็นของประเทศเป็นหลัก 

หลังจากที่ตลาดหุ้นกับตลาดตราสารหนี้ ทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นมาได้ซัก 3 สัปดาห์ติดต่อกัน เดือนพฤษภาคมก็น่าจะเป็นช่วงพักฐานและอาจจะเป็นช่วงรอคอยความคืบหน้าของสงครามการค้าภาคใหม่ที่ถึงแม้จะเป็นคู่เก่า แต่มาลากเอาทั้งโลกลงมาในสนามด้วย มองว่าช่วงเวลานี้ต้องใช้สติและรอคอยมากกว่ารีบร้อนครับ เดือน พฤษภาคม หลักๆ ก็น่าจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ตัวเลขการจ้างงานไม่น่าจะดีนัก GDP ไตรมาสแรกก็ไม่น่าจะดีเช่นกัน ส่วนญี่ปุ่น ก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน อย่างไรก็ดีปัจจัยบวกของไทย ผมมองว่า กองทุน ThaiESGX ก็เริ่มขายในเดือนนี้น่าจะช่วยเรื่องบรรยากาศการลงทุนในประเทศเราได้บ้าง

พอร์ตการลงทุนเดือนพฤษภาคม หุ้นไทย SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมาก พอร์ตการลงทุน ยังคงหุ้น ไว้ที่ 50% เป็นสหรัฐฯ 15% ส่วน ยุโรป และ ญี่ปุ่น รวมกัน 10% เวียตนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 20% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนใน ทอง น้ำมัน และ รีทส์ รวมกันเป็น 10%