สงครามการค้าครั้งใหม่ ความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญ

สงครามการค้าครั้งใหม่ ความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญ

การลงทุนในประเทศคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเสี่ยงทางลบมากขึ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นการคัดเลือกหุ้นที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทนทานในทุกสภาพตลาดได้ในช่วงนี้ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมในการลงทุนหลังราคาหุ้นหลาย ๆ ตัวในตลาดปรับตัวลงมามากแล้ว

ภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายนเริ่มต้นได้ไม่สวยนัก จากปัจจัยกดดันภายนอก มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยปธน.ทรัมป์ ที่ประกาศออกมาผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์กันมาก โดยกรอบภาษีตอบโต้ถือว่าอยู่ในระดับสูง เฉลี่ยอยู่ที่ 30% สำหรับประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่โดนเก็บโซนสูง โดยตัวเลขเบื้องต้นอยู่ที่ 37% ซึ่งภาคส่งออกที่คิดเป็นกว่า 55% ของ GDP ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 18-20% ของการส่งออกรวมถือว่าเป็นตลาดหลักของภาคส่งออก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยควรเร่งเจรจาเกี่ยวกับมาตรการภาษีกับทางสหรัฐฯ ซึ่งภายหลังการประกาศอัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง และมีความผันผวนสูงขึ้นมาก

แม้ว่าปธน.ทรัมป์ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าตอบโต้บางส่วนเป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้เจรจาลดกําแพงการค้า แต่ยังคงอัตราภาษีพื้นฐาน 10% สําหรับประเทศส่วนใหญ่ ตลาดหุ้นกลับมากังวลถึงคู่ค้ารายใหญ่ทั้ง 2 ราย ยังคงมีการตอบโต้กันต่อเนื่อง ล่าสุดสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนําเข้าจากจีนรวมเพิ่มเป็น 145% หลังจีนมีการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนําเข้าจากสหรัฐฯรวม 125%

ด้านสหภาพยุโรปตอบรับการชะลอการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ออกไปด้วยการประกาศระงับมาตรการตอบโต้ทางการค้าต่อสหรัฐฯเป็นเวลา 90 วัน คาดว่าการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯในครั้งนี้ หากทำจริงตามที่ประกาศออกมาจะเปลี่ยนแปลงการค้าโลก การแข่งขัน และประสิทธิภาพในการผลิต โดยภาพรวมไม่ได้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก และอาจนำมาสู่เรื่องการทวนกระแสโลกาภิวัตน์อีกครั้ง หมายความว่าแต่ละประเทศจะพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศตัวเองมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกจากเรื่องสงครามการค้า 

สำหรับประเทศไทย สงครามการค้าในครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยสู่ตลาดโลก แต่รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย

ปัญหาสงครามการค้าในครั้งนี้มีแนวโน้มรุนแรงและยืดเยื้อ อีกทั้งยังยากที่จะคาดเดาว่าปลายทางของสงครามในครั้งนี้จะจบอย่างไร โดยคาดว่ารัฐบาลไทยจะเร่งเจรจาเพื่อต่อรองกับทางสหรัฐฯ โดยภาคเอกชนเองยังต้องคอยติดตามสถานการณ์ของสงครามการค้าในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดหากต้องเผชิญอัตราภาษีตามที่สหรัฐฯประกาศ 

อย่างไรก็ตาม หากกลับมาพูดถึงเรื่องของการลงทุนในประเทศคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเสี่ยงทางลบมากขึ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นการคัดเลือกหุ้นที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทนทานในทุกสภาพตลาดได้ในช่วงนี้ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมในการลงทุนหลังราคาหุ้นหลาย ๆ ตัวในตลาดปรับตัวลงมามากแล้ว ผู้เขียนคงมุมมองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนที่เปรียบเสมือนเป็นแนวป้องกันจากการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีปันผลสูงในประเทศไทย โดยสัดส่วนที่เหลือสามารถเตรียมไว้เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนที่มากขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว