From MAGA (Make America Great Again) to MALA (Make America Lost Again)

ตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นถูกขับเคลื่อนจากนโยบาย Trump โดยประเด็นด้าน Tariff การขึ้นภาษีนำเข้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโก ขณะที่จีนถูกเก็บที่ 10% มองว่าไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดไว้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ลดลงหลังจากการพยายามเจรจาเพื่อสันติภาพ

เมื่อดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นในเดือนกุมภาพันธ์มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายเรื่อง ข้อมูล ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 จาก Bloomberg ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงเกือบ 3% ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงกว่า 5.5% เนื่องจากการเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ภายหลังการประกาศงบการเงินไตรมาสล่าสุด แม้ว่าจะออกมาดีกว่าคาดแต่การเติบโตที่อาจจะไม่ได้หวือหวาหรือสร้างความเซอร์ไพรส์ให้นักลงทุนได้มากนัก ทั้งนี้ถ้านับตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาให้ผลตอบแทนที่เป็นลบแล้ว สวนทางกับดัชนีหุ้นจีน H-share ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 16% ตามมาด้วยตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวขึ้น 3.5% ดัชนี Euro Stoxx 50 ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 25 ปี

ในด้านตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ นั้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 4.5% มาอยู่ที่ระดับ 4.22% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นอายุ 3 เดือนนั้นอยู่ที่ 4.3% นั้นหมายความว่าภาวะ Inverted yield curve กลับมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้ความกังวลด้านเศรษฐกิจชะลอตัวกลับมาเป็นความเสี่ยงอีกครั้ง แน่นอนว่าทองคำก็สามารถปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งก่อนเริ่มเห็นแรงเทขายในช่วงปลายเดือน

นับตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นถูกขับเคลื่อนจากสามสี่ปัจจัย 1.นโยบายของ Trump โดยประเด็นด้าน Tariff ที่ออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ การขึ้นภาษีนำเข้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโก ขณะที่จีนถูกเก็บที่ 10% ซึ่งถูกมองว่าไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ลดลงหลังจากการพยายามเจรจาเพื่อสันติภาพ 

2.การมาของ Deepseek ทำให้ภาพ การลงแข่งขันด้าน AI เปลี่ยนไปและเกิดความน่าสนใจในเทคโนโลยีจีน รวมถึงท่าทีของผู้นำจีนที่เปลี่ยนไปในทางบวกต่อบริษัทเทคโนโลยีจีนผลักดันให้หุ้นจีนฟื้นตัวอย่างโดดเด่น 3. Trump trade fading, ธีมการลงทุน US exceptionalism มีมุมมองที่เปลี่ยนไป ขณะที่หุ้น 7 นางฟ้าของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาด 

4.ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่กลับมาเพิ่มขึ้น และการคาดการณ์ว่าผลกระทบจาก Tariff ในช่วงข้างหน้าจะเป็นความเสี่ยงให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัวลงเกิดความกังวลว่าจะเกิดภาวะ Stagflation เมื่อกลับมามองมุมมองคำแนะนำที่เราเคยให้ไว้ว่าปีนี้อาจจะเป็นปีที่ความผันผวนสูงขึ้นจากนโยบายต่างๆ รวมถึงการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาเยอะมีโอกาสจะถูกขายทำกำไรหรือปรับลดน้ำหนักลงได้ 

ตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นจีนจะยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้หรือไม่

เมื่อมองการฟื้นตัวของตลาดหุ้นยุโรปในช่วงปีนี้จะเห็นว่ามาจากการที่ตลาดหุ้นยุโรปนั้นค่อนข้าง underperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาหลายปี ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองในประเทศและการขาดกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมชั้นนำที่ตามหลังสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนให้น้ำหนักต่อการลงทุนในหุ้นยุโรปที่น้อยทำให้เมื่อเริ่มมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าไปเนื่องจากภาพความกังวลด้านสงครามที่ลดลง กับ valuation ที่ถูกทำให้เรามองว่าการฟื้นตัวนั้นผ่านช่วงที่ฟื้นตัวง่ายไปแล้วหลังจากนี้จะมีความยากมากขึ้น ทั้งนี้ยุโรปยังคงมีความท้าทายจากหลายปัจจัย เช่น ประชากรสูงวัย ต้นทุนแรงงานและพลังงานที่สูง อัตราการเติบโตของผลิตภาพที่ซบเซา และรวมถึงปัญหาเดิมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่อ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นนักลงทุนจากสหรัฐฯ และเอเชียเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ

ในด้านตลาดหุ้นจีนอาจจะแตกต่างจากหุ้นยุโรปและยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้มากกว่า สาเหตุสำคัญคือ ท่าทีของผู้นำจีนที่เปลี่ยนไปและด้วยเทคโนโลยีด้าน AI ที่แข่งขันกับสหรัฐฯได้ ซึ่งมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ทั้งนี้นักลงทุนเริ่มตั้งความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนก่อนการประชุม สภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ในเดือนมีนาคม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริโภคที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการใช้จ่ายของรัฐบาล แม้ว่าเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ปัญหาหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ลดลง และโครงสร้างประชากรที่ถดถอย แต่มุมมองทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นชี้ให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะซบเซา แต่ตลาดหุ้นก็ยังสามารถเกิดแรงส่งขึ้นเป็นรอบ ๆ ได้ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจจะออกมาเป็นรอบๆ ได้ ดังนั้น เมื่อกระแส AI เริ่มลดความร้อนแรง นักลงทุนอาจหันกลับมาให้ความสนใจกับนโยบายกระตุ้นการบริโภคของจีน โดยเฉพาะมาตรการ Trade-in ที่ช่วยให้ยอดขายรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน