อินเดียยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนหรือไม่ในปี 2025? ท่ามความความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก

อินเดียยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนหรือไม่ในปี 2025? ท่ามความความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก

กำไรบริษัทจดทะเบียนอินเดียมีแนวโน้มเติบโตสูง Goldman Sachs ประเมิน EPS Growth ของดัชนี NIFTY 50 ปี 2025-2026 ที่ระดับ 13%YoY และ 16%YoY ตามลำดับ ซึ่งเรามองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียสามารถรักษาแนวโน้มของขาขึ้นได้ต่อ

ตลาดหุ้นอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นในปี 2024 และเคยทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อิงจากดัชนี NIFTY 50 ที่ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 26,277 จุด อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ช่วง 4Q24 จนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นอินเดียเกิดการปรับฐาน หากวัดจากจุดสูงสุดของดัชนีจนถึงวันที่ 10 ก.พ. 2025 ดัชนี NIFTY ปิดที่ระดับ 23,381 จุด ปรับตัวลงกว่า -11% โดยมีปัจจัยกดดัน อาทิ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 4Q24 ที่เติบโตน้อยกว่าตลาดคาด, การปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางอินเดียปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ปี 2025/2026 ที่ 6.7% (จากเดิมที่เคยประเมินการเติบโตมากกว่า 7%) และความเสี่ยงจากการถูกปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายการค้าของทรัมป์ 2.0 เป็นต้น

จากปัจจัยเสี่ยงที่เราได้กล่าวมาข้างต้น เป็นข้อสรุปที่ทำให้เราไม่ควรลงทุนในอินเดียหรือเปล่า สำหรับผมคำตอบคือไม่และมองว่า “อินเดียยังคงเป็นตลาดหุ้นที่ควรลงทุน” เพราะตลาดหุ้นอินเดียมีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสอดคล้องไปกับเศรษฐกิจอินเดียซึ่งเราประเมินว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับการเติบโตของเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก ในขณะที่ระดับราคาหุ้นปัจจุบันเรามองว่ายังไม่ได้สะท้อนการเติบโตในอนาคตได้ทั้งหมด

สำหรับการประเมินมูลค่าของตลาดหุ้นอินเดียในปัจจุบันพบว่า มีความตึงตัวน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญอิงจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์ใน Bloomberg Consensus ณ วันที่ 10 ก.พ. 2024 ประเมิน 12 Month Forward P/E ของดัชนี Nifty 50 ที่ระดับ 19.74X เทียบเท่าระดับ +0.38 S.D. ของค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 10 ปี ลดลงเมื่อเปรียบเทียบตลาดหุ้นอินเดีย ณ จุดสูงสุดที่มีอัตราส่วน P/E ในระดับใกล้เคียงกับ +2.00 S.D. ของค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 10 ปี ปัจจุบันนักวิเคราะห์ได้ประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ไปแล้วโดยส่วนใหญ่ (พร้อมกับราคาหุ้นที่ได้ปรับฐานลงมา) และมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในปี 2025 

ปัจจัยด้านประชากร (Demographic Force) เป็นจุดแข็งสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว เนื่องจากประชากรวัยหนุ่มสาวอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ โดยอินเดียมีอายุเฉลี่ยของประชากรเพียง 28.4 ปี เทียบกับค่าเฉลี่ยอายุประชากรโลกที่ 30.6 ปี, ค่าเฉลี่ยอายุประชากรสหรัฐฯ ที่ 38.3 ปี, ค่าเฉลี่ยอายุประชากรจีนที่ 39.6 ปี, ค่าเฉลี่ยอายุประชากรยุโรปที่ 42.5 ปี และค่าเฉลี่ยอายุประชากรญี่ปุ่นอยู่ที่ 49.4 ปี ตามลำดับ การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของประชากรซึ่งขึ้นเป็นอันหนึ่งของโลกราว 1.45 พันล้านคน อ้างอิง

ข้อมูลจาก Worldometers ณ วันที่ 10 ก.พ. 2025 เรามองว่ากำลังซื้อของประชากรเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดีย India Real GDP Per Capita ในช่วง Post-Covid 19 (2022-2024) ที่เติบโตเฉลี่ย 6.8% CAGR และเติบโตสูงถึง 50.4% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (เปรียบเทียบปี 2024 กับปี 2015) การยกระดับฐานะและรายได้ของประชากรส่งผลบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดียอย่างมีนัยสำคัญ

ประเด็นการยกระดับฐานะและรายได้ของคนอินเดียทำให้ผมนึกถึงหนังที่เคยดูใน Netflix เรื่อง “The White Tiger” ปี 2021 หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเสียดสีสังคมอินเดียในแง่มุมต่างๆ ผ่านการถ่ายทอดชีวิตของตัวเอกอย่าง พลราม ฮาลวัย (Balram Halwai) ที่เกิดและเติบโตในครอบครัววรรณะฮาลวัย มีหน้าที่ตามวรรณะคือทำขนมและให้บริการวรรณะอื่นๆ (เป็นชนชั้นล่างและกลุ่มแรงงานในสังคมอินเดีย) พลรามแม้จะมีสติปัญญาและไหวพริบที่ดีแต่ถูกจำกัดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจึงต้องดิ้นรนเพื่อถีบตัวเองออกจากความยากจนที่เปรียบเหมือนสถานะซึ่งถูกตีตราเอาไว้ตั้งแต่เกิด ทำให้เขาต้องตัดสินใจและทำอะไรหลายอย่าง ทั้งผิดและถูกเพื่อเอาตัวรอดในสังคมอินเดีย หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบผมมานั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับอินเดียในมิติต่างๆ โดยเฉพาะในด้านความขาดแคลนปัจจัยสี่ อาทิ ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูโภคต่างๆ ตลอดจนโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา อีกนัยหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่า ประเทศอินเดียมีความจำเป็นต้องลงทุนในสิ่งต่างๆ เหล่านี้อีกมาก เพื่อระดับชุมชนเมือง (Urbanization Rate) ของอินเดียที่ยังต่ำกว่าระดับ 40% (ข้อมูลปี 2023 อยู่ที่ระดับ 36% อิงข้อมูลจาก World Bank) 

โครงสร้างทางเศรษฐกิจอินเดียอิงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศซึ่งมีสัดส่วนราว 60% ของ GDP ซึ่งแตกต่าง จากหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชียที่พึ่งพาการส่งออก ดังนั้นในด้านผลกระทบเชิงลบจากสงครามการค้าระลอกใหม่ต่อภาพรวมของเศรษฐกิจอินเดียอาจน้อยกว่าหรือจำกัดโดยเปรียบเทียบ ขณะเดียวกันอินเดียซึ่งวางตัวได้ดีบนความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาตร์โลก และพร้อมเจรจากับมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเราคาดว่าผลการเจรจาของผู้นำอย่างนเรนทรา โมดีและคณะรัฐบาลที่ชาญฉลาดจะส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดีย ขณะเดียวกันกำไรของบริษัทจดทะเบียนอินเดียที่มีแนวโน้มเติบโตในระดับสูงอ้างอิงการศึกษาของ Goldman Sachs ในบทวิเคราะห์ “India Weekly Kickstart ประเมิน EPS Growth ของดัชนี NIFTY 50 ปี 2025-2026 ที่ระดับ 13%YoY และ 16%YoY ตามลำดับ ซึ่งเรามองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียสามารถรักษาแนวโน้มของขาขึ้นได้ต่อ