จุดเปลี่ยนในสหรัฐฯ ประเทศคู่ค้าต้องติดตาม

ลงทุนหุ้นไทยเดือนนี้ SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมาก พอร์ตการลงทุน ยังควรที่จะมีหุ้น 50% โดยแบ่งเน้นที่สหรัฐฯ 15% ส่วน ยุโรป และ ญี่ปุ่น รวมกัน 15% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5%
ภาพการลงทุนเดือน มกราคม ในช่วงครึ่งเดือนแรก สถานการณ์ลงทุนส่วนใหญ่เป็นไปตามกระแสการลงทุนที่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่จุดเปลี่ยนสำคัญ มาในช่วงปลายเดือน เริ่มจากการกลับเข้ารับตำแหน่งใหม่ของ คุณโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งพฤติกรรมที่ทำนายได้ยาก ประกอบกับการกลับมาครั้งนี้ มี อีลอน มัสก์จาก เทสล่า ตามมาเป็นที่ปรึกษาด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล ก็น่าจะมีอะไรที่เกินคาดหมายออกมาเรื่อยๆ ส่วนเรื่องถัดมา เรื่องนี้มาเงียบๆแต่กระเทือนไปทั้งโลก คือ การมาของ DeepSeek AI จากประเทศจีน ก็ทำให้ NASDAQ ร่วงลงไป 3% ภายในวันเดียว หุ้นผู้ผลิต Chip ต่างก็ปรับตัวลงแบบถล่มทลาย ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน
มาเล่าเรื่องละเอียดกันหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยลบจากต่างประเทศที่มีผลต่อการลงทุนโดยรวมรวมทั้งประเทศไทย เริ่มจากความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกที่มีต่อความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าของสหรัฐหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากการส่งสัญญาณสงครามการค้ารุนแรงมากขึ้น จนทำให้ในเดือนนี้ เงินดอลลาร์แข็งค่า และผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ปรับตัวสูงขึ้นกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกรวมทั้งหุ้นไทย และภูมิภาคปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
สรุปคือนักลงทุนกลัวเงินเฟ้อกับ เศรษฐกิจถดถอย จะตามมา ต่อมาก็เป็นเรื่องของการเปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้นทุนต่ำของ จีน ชื่อ DeepSeek ที่น่ากลัวไม่ใช่ว่าแค่เป็นคู่แข่งจากจีน แต่น่ากลัวเนื่องจากต้นทุนที่ต่ำกว่า OpenAI และยังไม่จำเป็นต้องใช้ ชิปราคาแพงเหมือน ChatGPT ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเทคโนโลยี (Nasdaq ปรับลดลง 3%) และทำให้นักลงทุนตั้งคำถามว่า เงินลงทุนใน AI อเมริกาที่สูงเกินจริง ประมาณว่าเสียของ
ท้ายสุด ที่ทุบตลาดหุ้นโลกคือการแถลงของ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย แต่ขอติดตามเงินเฟ้อและตัวเลขแรงงานของสหรัฐก่อน ซึ่งนักลงทุนรู้สึกว่าเฟดไม่มั่นใจและอาจจะเตรียมกลับลำเป็นคงอัตราดอกเบี้ยให้ยาวขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25% - 4.50% และส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ทั้งนี้ Fed Watch Tool ยังคงประมาณการดอกเบี้ยสหรัฐมีโอกาสลด 2 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าจะลดครั้งแรกในการประชุมเดือนมิ.ย.
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีปัจจัยบวกในประเทศ จากการออกมาตราการ การกระตุ้นเศรษฐกิภายในประเทศในหลายด้านอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาท รอบแรกของผู้สูงอายุ แจกไปแล้วตอนปลายเดือน มกราคม และยังมีแผนที่จะแจกเงินเฟส 3 ลงไปอีกในไตรมาสที่เหลือของปี เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็คือการเริ่มใช้ มาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” ซึ่งได้เปิดให้ใช้จ่ายได้ในช่วง 16 ม.ค. - 28 ก.พ. 2568 และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท
นอกนั้นก็จะเป็นเรื่องระยะยาวหน่อย คือ เรื่อง Entertainment Complex พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พร้อมพื้นที่เชิงพาณิชย์ ท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ ซึ่งก็ผ่าน ค.ร.ม. แล้ว ท้ายสุดคือ กระทรวงการคลัง เปิดแผนแก้หนี้เฟส 2 ผ่านวงเงินซอฟต์โลน 5 หมื่นล้าน เพื่อขยายกลุ่ม โครงการคุณสู้เราช่วย
สำหรับภาพการลงทุนในเดือนก.พ. คาดว่าประมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นจะกลับมาดีขึ้น เนื่องจากหมดช่วงเทศกาลสำคัญแล้ว ตลาดตราสารหนี้ อาจจะผันผวนเนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากนโยบายภาษี ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ สงครามการค้าที่เกิดขึ้นมีทิศทางและขนาดที่น่าจะใหญ่กว่าครั้งที่แล้วเพราะในรอบนี้ เป็นการพุ่งเป้าออกไปยังส่วนที่เหลือของโลกด้วย ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองคือการโต้กลับของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ว่าจะรับมืออย่างไร รวมถึงมาตรการการตอบโต้กลับ ทั่งนี้ นอกจากเรื่องภาษีแล้วก็อาจจะเลยไปถึง เรื่องความตึงเครียดระหว่างประเทศทำให้สถานะของสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มจะมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น
การลงทุนหุ้นไทยเดือนนี้ ผมมองว่า SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมาก พอร์ตการลงทุน ยังควรที่จะมีหุ้น 50% โดยแบ่งเน้นที่สหรัฐฯ 15% ส่วน ยุโรป และ ญี่ปุ่น รวมกัน 15% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนใน ทอง น้ำมัน และ รีทรวมกันเป็น 10%