มุมมองหุ้นไทยปี 2025

มุมมองหุ้นไทยปี 2025

มุมมองปี 2025 คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดี เนื่องจากกรณีการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่จะเข้ามาเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจไทย โดยนโยบายดังกล่าว จะตั้งกำแพงภาษีของทุกประเทศ 10-20% และเพิ่มภาษีการนำเข้าจากประเทศจีนเป็น 60%

ปีมังกรทองที่ผ่านมาคงเป็นอีกหนึ่งปีที่นักลงทุนต่างเผชิญต่อความยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นที่หดหาย ความมั่นคงทางการเมือง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีอัตราการเติบโตต่ำ รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศจากการมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ที่มีนโยบายหลักคือ การขึ้นกำแพงภาษีต่อประเทศคู่ค้า ทำให้ถูกมองว่าในปี 2025 เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบโดยตรงโดยเฉพาะการส่งออกที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของ GDP

สำหรับในปีนี้เอง แม้ต้นปีภาพรวมตลาดหุ้นอาจดูไม่สดใสมากนัก แต่จากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าตลาดหุ้นไทยได้ตอบสนองต่อปัจจัยเชิงลบทั้งการเติบโต ปัญหาความเชื่อมั่น รวมทั้งปัจจัยจากภายนอกประเทศ ไปมากพอสมควร โดย SET Index ณ สิ้นปี 2024 ปรับตัวลดลงเป็นปีที่สองติดต่อกันในรอบกว่า 20 ปี และยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำหรับมุมมองปี 2025 คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดี เนื่องจากกรณีการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่จะเข้ามาเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจไทย โดยนโยบายดังกล่าว จะตั้งกำแพงภาษีของทุกประเทศ 10-20% และเพิ่มภาษีการนำเข้าจากประเทศจีนเป็น 60% ทั้งนี้ แน่นอนว่าไทยย่อมได้รับผลกระทบในแง่ของการที่สินค้าจะส่งออกได้น้อยลง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ามีแต่ผลกระทบด้านลบอย่างเดียวเสมอไป เพราะในอีกแง่มุม ไทยก็อาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต ทำให้จำนวนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้มากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม หลังการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ เห็นว่าท่าทีที่มีต่อจีนจะดูเป็นมิตรมากกว่าช่วงก่อนหน้า โดยการขึ้นภาษีอาจไม่สามารถทำได้ทันที ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันอัตราเงินเฟ้อที่ผู้ผลิตจะผลักภาระทางภาษีให้แก่ผู้ซื้อสินค้าทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นในที่สุด เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สหรัฐอเมริกาเองต้องพิจารณา ต่อผลทระทบทางเศรษฐกิจในแง่ของเงินเฟ้อที่อาจจะลดลงได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ส่งผลกระทบต่อมาถึงแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่มีแนวโน้มว่าจะลดได้ช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของไทยปีนี้อาจลดได้ช้าลงตามการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งล่าสุดที่ IMF ปรับคาดการณ์ GDP ไทยลดลงเหลือการเติบโต 2.9% จากเดิมที่ 3% ทำให้มองว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ก็อาจจะยังไม่ได้เติบโตอย่างโดดเด่นมากนัก 

นับว่าเป็นอีกปีที่เราต้องคอยจับตามองความเสี่ยงจากภายนอกประเทศมากขึ้น ซึ่งในส่วนของภายในประเทศเอง คาดว่าเราได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาตลอดทั้งปี 2024 แล้ว ดังนั้นในปี 2025 หากปัจจัยต่างประเทศไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเรามากไปกว่าที่คาดไว้ บวกกับมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐได้ให้ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทย ยังมีแนวโน้มให้เติบโตได้ แม้โดยส่วนตัวคาดว่าก็อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม ณ ระดับ Valuation ปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยถือว่าค่อนข้างถูกมาก ความเสี่ยงด้านลบได้สะท้อนลงไปในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้น การเข้าลงทุนในหุ้นไทยในปัจจุบันอาจกลับมาน่าสนใจก็เป็นได้