Republicans or Democrats: who is Mr. Market’s favorite?

จากสถิติในอดีตพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7.9% ต่อปีในสมัยประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และ 3.6% ในสมัยประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน อย่างไรก็ตามช่วงที่มีประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน หรือจากพรรคเดโมแครต ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดหุ้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม

สัปดาห์นี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 จะเป็นประเด็นที่ทุกคนจะให้ความสำคัญมากที่สุด ถ้าดูจากผลสำรวจในช่วงโค้งสุดท้ายถือว่ามีความสูสีกันอย่างมาก คามาลา แฮร์ริส มีโอกาสที่จะกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ในขณะที่หากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากคณะผู้เลือกตั้งอีกครั้ง เขาจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้รับเลือกถึงสองสมัยโดยไม่เคยชนะคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเลย (Popular vote) หากพิจารณาตามผลสำรวจล่าสุด ตั้งแต่ปี 1901 เป็นต้นมา 

ข้อมูลจากสถิติในอดีตพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7.9% ต่อปีในสมัยประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และ 3.6% ในสมัยประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน (ที่มา Bloomberg ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลบวกที่เกิดจากเงินปันผล) อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงที่มีประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน (เช่น โรนัลด์ เรแกน) หรือจากพรรคเดโมแครต (เช่น บารัค โอบามา) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดหุ้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในช่วงต่างๆ มีบทบาทมากกว่าปัจจัยการเมืองในระยะสั้น

ดังนั้น นักลงทุนอาจพิจารณารักษาสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ไว้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและการเติบโตของโลก ทั้งนี้ตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งตลาดหุ้นจะตอบสนองเชิงบวกมากกว่าจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายด้านภาษีแต่จะไม่ดีกับตราสารหนี้ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีโอกาสพุ่งขึ้น ซึ่งถ้าเราดูการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ในเดือนตุลาคม ณ วันที่ 30 ตุลาคม ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.89% และ Nasdaq 100 เพิ่มขึ้น 2.3% 

ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 3.7% เป็น 4.3% ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) เพิ่มขึ้น 3.5% ทั้งนี้มักมีคำกล่าวที่ว่าดัชนี S&P 500 เป็น “นักเศรษฐศาสตร์” ที่ดีที่สุดเพราะในอดีตตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวที่สะท้อนการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในอนาคต และในไม่ช้าเราจะได้รู้ว่า ดัชนี S&P 500 จะเป็น “นักวิเคราะห์การเมือง” ที่ดีเช่นกันหรือไม่ 

เมื่อผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงมีประเด็นที่น่าสนใจที่คาดว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี เช่น การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เหลืออีกสองครั้ง ทั้งนี้เป็นที่คาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 25bps แต่ที่น่าสนใจคือการประชุม the National People's Congress (NPC) ของจีนที่จะมีการประชุมระหว่างวันที่ 4-8 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อีกรอบหลังจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ในช่วงกลางเดือนกันยายนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่หลากหลายด้าน เช่น การปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารลง, ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, การให้เงินกู้ยืมแก่ธนาคารท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการให้สภาพคล่องแก่สถาบันการเงินเพื่อสร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้น ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าทางการจีนเลือกช่วงเวลาในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังที่เฟดนั้นเริ่มผ่อนคลายนโยบายด้านการเงิน ซึ่งในครั้งนี้ก็น่าสนใจเพราะจะเป็นช่วงที่จะรู้แล้วว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะเป็นผู้ใดและรวมถึงทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของเฟด 

ทั้งนี้ เรายังคาดว่าตลาดหุ้นจีนนั้นมีโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ภายหลังจากที่มีแรงขายทำกำไรในช่วงที่ผ่านมา แต่การฟื้นตัวในช่วงข้างหน้าอาจจะไม่เหมือนเดิมกล่าวคือการปรับตัวขึ้นอาจจะไม่รุนแรงเหมือนช่วงแรกที่มักเกิดจากแรงซื้อกลับจากกลุ่มที่มีการทำ Short sell รวมถึงกระแส FOMO ของนักลงทุนที่กลัวการตกรถ เราคาดว่าตลาดจะมีความผันผวนที่มากขึ้นและจะให้ความสำคัญกับพื้นฐานการเติบโตของกำไรและมูลค่า (Valuation) มากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรใช้จังหวะที่หุ้นจีนมีการฟื้นตัวลดน้ำหนักในหุ้นที่พื้นฐานอ่อนแอไปสู่หุ้นที่มีคุณภาพดี

ทั้งนี้ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน