เมื่อเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และตลาดทุน สวนทาง

เมื่อเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และตลาดทุน สวนทาง

ความสวนทางทำให้การลงทุนกระจุกตัวผิดปรกติทั้งในหุ้น AI และบอนด์ระยะสั้น แต่ในที่สุด ผมมองว่านโยบายการเงินสหรัฐจะต้องผ่อนคลาย และเศรษฐกิจจะเข้าสู่วัฏจักรรอบใหม่ที่ต้องใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นพื้นฐานการเติบโต เมื่อเวลานั้นมาถึง ดอกเบี้ยก็จะกลับสู่ปรกติ และการเติบโตจะกระจายไปสู่ทุกกลุ่มไม่ใช่แค่ Tech หรือ AI

ตลาดกระทิงปี 2024 เป็นขาขึ้นที่น่าสงสัย

สหรัฐเริ่มปีด้วยดอกเบี้ยนโยบาย 5.50% สูงที่สุดในรอบ 24ปี ตลาดเชื่อว่าเศรษฐกิจไม่น่าจะทนต้นทุนนี้ไหว Fed อาจต้องลดดอกเบี้ย 150-200 bps

ผ่านมาไม่ถึงครึ่งปี มุมมองเหล่านี้กลับสวนทางไปหมด ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจแข็งแกร่งเกินคาด ตลาดหุ้นก็ทำ All Time High แม้ Fed อาจไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้ 

มุมมองที่เปลี่ยนไปมา ทำให้ Position ของตลาดผิดเพี้ยน แม้ตลาดจะเป็นขาขึ้น แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ถือเงินสด ล่าสุด Bank of America รายงานว่ากลยุทธ์สุดโต่งในตลาดช่วงนี้คือ 70% ถือดอลลาร์ที่ผลตอบแทน 5% และที่เหลือเก็งกำไรกับ AI ทั้งหมด

ในมุมมองของผม มีหลายประเด็นที่น่าสงสัยและกลับไปมา แต่สำหรับการลงทุนเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้เร็วที่สุด คือ “ความสวนทาง” ของแนวโน้มต่างๆ เพราะอาจทำให้เกิดความผันผวนรุนแรงได้ในครึ่งปีหลัง

(1) เศรษฐกิจสวนทาง ระหว่างสหรัฐกับทั่วโลก

ตลาดแรงงานกำลังชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ล่าสุดการว่างงานขยับขึ้นแตะ 4.0% จากจุดต่ำสุด 3.4% ช่วงกลางปี 2023 แม้จะไม่ถดถอย แต่ก็ไม่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น

สวนทางกับทั่วโลก ที่ฝั่งยุโรปเริ่มเห็นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม เงินเฟ้อลดลง ส่วนฝั่งทางการจีน กลับมากระตุ้นการลงทุนเพื่อประคองเศรษฐกิจ

แนวโน้มเศรษฐกิจที่สวนทางนี้ อาจนำไปสู่ความติดขัดด้านธุรกิจ หรือปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ สงครามการค้าจะกลับมาเป็นประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงที่เหลือของปี

เมื่อเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และตลาดทุน สวนทาง

(2) นโยบายการเงินสวนทาง ระหว่าง Fed กับธนาคารกลางใหญ่ทั่วโลก

ย้อนไปก่อนหน้านี้ ตลาดมองไปทางเดียวกันว่าไม่น่าจะมีธนาคารกลางใหญ่ที่ไหนกล้าลดดอกเบี้ยก่อน Fed เพราะอาจสร้างความผันผวนสูง

แต่ล่าสุด สองธนาคารกลางใหญ่อย่าง Bank of Canada และ ECB เริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้ว และเงิน CAD และ EUR ก็ไม่ได้อ่อนค่ามากอย่างที่กังวล

เหตุผลหลักที่ตลาดกลับลำ ไม่มองว่าการผ่อนคลายสวน Fed เป็นข่าวร้าย ผมเชื่อว่ามาจากภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ยิ่งถ้าการลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่ม อาจพลิกเป็นข่าวดีสำหรับบางประเทศ

ระยะสั้นความสวนทางนี้อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ส่วนต่างของดอกเบี้ยกับสหรัฐกับทั่วโลกที่กว้างขึ้นจะเป็นตัวเร่งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หรือตลาดทุนปรับฐาน

(3) หุ้นและบอนด์สวนทาง 

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาตลาดการเงินซื้อขายในโหมด Tightening (หุ้นและบอนด์ปรับตัวลง) เพียง 4 เดือน นอกนั้นจะ Easing (หุ้นและบอนด์ปรับตัวขึ้น) 5 เดือน และหุ้นขึ้นอีก 3 เดือน

ในภาพรวมเป็นสัญญาณว่าหุ้นปรับตัวขึ้นได้แม้ไม่มีนโยบายการเงินสนับสนุน แต่บอนด์กลับถูกกดดันด้วยนโยบายการเงิน เงินเฟ้อ และการขาดดุลการคลังต่อเนื่อง

ความสวนทางของหุ้นและบอนด์ ไม่ใช่ภาพปรกติของตลาดการเงินในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นขึ้นต่อ เป็นกลุ่ม AI หรือมีประเด็นในประเทศเข้ามาสนับสนุน มากกว่าแนวโน้มวัฏจักรรอบใหม่ 

ผมมองว่า หุ้นและบอนด์ที่เคลื่อนไหวสวนทางนี้ สุดท้ายจะมีเพียงหนึ่งตลาดที่ถูกต้อง และเราจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในไม่ช้า 

สำหรับนักลงทุนไทย การวางกลยุทธ์รับมือกับความสวนทางเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ควรคิดทันที

สำหรับระยะสั้น ความสวนทางไม่ใช่ข่าวร้ายกับตลาดไปทั้งหมด เป็นโอกาสของการลงทุนต่อเนื่อง

สำหรับผม แม้ดัชนีหุ้นหลายประเทศจะทำจุดสูงสุดใหม่ สวนทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัว แต่เมื่อแนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินเริ่มจุดติด จะทำให้ Sentiment ไม่เป็นลบ ไม่ใช่จังหวะที่ต้องรีบลดความเสี่ยง

ใครมีหุ้นระดับเหมาะสมแล้ว สามาถถือต่อได้ แต่ถ้ากังวลก็สามารถหลบไปอยู่บนหุ้นขนาดใหญ่ และหุ้น DM นอกสหรัฐไว้ก่อน

3-6 เดือนต่อจากนี้ ควรจับตาไปที่การเมืองสหรัฐ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการควบคุมธุรกิจ AI 

มีความเป็นไปได้สูงที่ความสวนทางข้างต้น จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายเศรษฐกิจหรือการเมือง ทางที่ดีคือหาการลงทุนที่ตอบโจทย์ความเสี่ยงเหล่านี้ด้านบวกติดพอร์ตไว้

เช่นประเด็นการเมือระหว่างประเทศ นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตไปที่ทองคำหรือดอลลาร์ ในสัดส่วนรวมกัน 10-20% ได้ ส่วนหุ้น AI อาจเปลี่ยนจากกลุ่ม Semiconductors ที่มีความเสี่ยงสูงไปเป็นการลงทุนตามดัชนีไปก่อน 

สำหรับนักลงทุนระยะยาว การเพิ่มสัดส่วนสินค้าโภคภัณฑ์และบอนด์ สามารถลดความเสี่ยง Valuation ลงได้

ความสวนทางทั้งหมดทำให้การลงทุนกระจุกตัวผิดปรกติทั้งในหุ้น AI และบอนด์ระยะสั้น แต่ในที่สุด ผมมองว่านโยบายการเงินสหรัฐจะต้องผ่อนคลาย และเศรษฐกิจจะเข้าสู่วัฏจักรรอบใหม่ที่ต้องใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นพื้นฐานการเติบโต เมื่อเวลานั้นมาถึง ดอกเบี้ยก็จะกลับสู่ปรกติ และการเติบโตจะกระจายไปสู่ทุกกลุ่มไม่ใช่แค่ Tech หรือ AI

โดยสรุป ยิ่งความสวนทาง เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ การกระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์และธีม ก็ยิ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากขึ้นเท่านั้นครับ