เบิร์กลีย์ แหล่งสร้างสตาร์ตอัป

ในอนาคต เบิร์กลีย์ ต้องการส่งเสริมวัฒนธรรมทางด้านนวัตกรรมและผู้ประกอบการ โดยการสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับนักศึกษาที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกในโลกที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นในทางกิจการเพื่อสังคม
KEY
POINTS
- ในปี 2024 เบิร์กลีย์กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่สร้างผู้ก่อตั้งกิจการและบริษัทสตาร์ตอัปสูงสุด แซงหน้าสแตนฟอร์ดและฮาร์วาร์ด
- การที่ศิษย์เก่าและนักศึกษาก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Intel และ Apple ประกอบกับที่ตั้งใกล้ซิลิคอนวัลเลย์ สร้างแรงผลักดันในการนำสิ่งประดิษฐ์ออกสู่ตลาด
- ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ใช้นวัตกรรมแบบเปิด โดยอนุญาตให้ใช้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นได้ฟรี ทำให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว
- เมื่อเงินสนับสนุนจากรัฐลดลง มหาวิทยาลัยได้เพิ่มความร่วมมือกับภาคเอกชน และจัดตั้ง "สำนักงานพันธมิตรอุตสาหกรรม" เป็นศูนย์กลางในการทำวิจัยร่วมกัน
- มหาวิทยาลัยร่วมก่อตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัป และให้การสนับสนุนการจดสิทธิบัตรเพื่อช่วยให้บริษัทใหม่ประสบความสำเร็จ
- สร้างหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้เน้นแค่ทักษะการบริหาร แต่ยังบ่มเพาะอุปนิสัยของนวัตกร เช่น ความยืดหยุ่น การยอมรับความล้มเหลว และการทำงานร่วมกันข้ามศาสตร์
- ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายศิษย์เก่ากว่า 600,000 คนในการร่วมลงทุน ให้คำปรึกษา และสร้างวัฒนธรรมที่ศิษย์เก่าผู้ประสบความสำเร็จจะกลับมาช่วยเหลือมหาวิทยาลัยและรุ่นน้อง
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดิฉันมีโอกาสได้ไปฟังเสวนา President’s Distinguished Talk ที่จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านมุมมองของผู้นำระดับโลก” ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาคือ คุณแคทเธอรีน คู อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจาก Office of Technology Licensing มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในการเสวนานั้น ท่านได้กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งของ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ชื่อ “Startup Campus : How UC Berkeley Became an Unexpected Leader in Entrepreneurship and Startups” ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวของการที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นผู้นำในการสร้างผู้ประกอบการและกิจการเริ่มใหม่หรือ “สตาร์ตอัป” (Startups)
เบอร์กลีย์ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1868 (พ.ศ. 2411) และมีชื่อเสียงในด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (หมายถึงสายตรง ไม่ใช่ประยุกต์) และเป็นแหล่งกำเนิดของเสรีภาพในการพูด “Free Speech Movement” ในทศวรรษ 1960
ดิฉันจำได้ว่าตอนเลือกสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยต่างๆในสหรัฐอเมริกา พี่ ๆ เคยมาแซวว่า “เลือกสมัครไปเบิร์กลีย์ ระวังกลับมาเป็นฮิปปี้นะ” เพราะในทศวรรษ 1970 จนถึงต้นทศวรรษ 1980 นั้น เบิร์กลีย์มีภาพลักษณ์ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาประเภทไม่ชอบอยู่ในระเบียบปฏิบัติอยู่เยอะมาก เป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างเสรี
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาหลังจากนั้น เบิร์กลีย์ได้ตั้งพันธกิจเป็น “มหาวิทยาลัยวิจัย การศึกษา และบริการสังคม” และกลายเป็นจักรกลสำคัญในการสร้างนวัตกรรมของโลกต่อมา
โดยในปี ค.ศ. 2024 ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการสร้างผู้ก่อตั้งกิจการสูงสุด โดยมีถึง 1,811 คน และสร้างบริษัทสตาร์ตอัป 1,642 บริษัท มากกว่าสแตนฟอร์ด (1,547 คน และ 1,397 บริษัท) และฮาร์วาร์ด (1,352 คน และ 1,222 บริษัท)
เบิร์กลีย์เป็นแนวหน้าในเรื่อง เทคโนโลยีดิจิทัล และ เทคโนโลยีชีวภาพ โดยในช่วงแรกยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการและสตาร์ตอัป เพราะไม่สามารถนับเป็นผลงานของอาจารย์หรือใช้ในการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการได้ แต่ภายหลังที่มีศิษย์เก่าและนักศึกษา ไปทำธุรกิจ เช่น กอร์ดอน มัวร์ และ แอนดรู โกรฟ ก่อตั้ง อินเทล สตีฟ วอซเนียก ร่วมก่อตั้ง แอปเปิล รวมถึง Cetus ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Chiron และถูกซื้อโดย Novartis และ Sun Microsystems ซึ่งภายหลังขายให้กับ Oracle ทั้งยังมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะอาจารย์และนักศึกษาพยายามไปทำงานกับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ และเมื่อเกิด ซิลิคอนเวลลีย์ขึ้นห่างจากมหาวิทยาลัยไปทางใต้เพียง 50 ไมล์ ก็ทำให้เกิดความอยากนำสิ่งประดิษฐ์ออกสู่ตลาด ประกอบกับการที่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ ทำนวัตกรรมแบบเปิด ยอมให้ใช้ซอฟท์แวร์ที่ประดิษฐ์ขึ้นภายใต้ข้อตกลงการใช้งานฟรี จึงทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดและพัฒนาการอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี “ไร้สาย”
การเรียนการสอนวิชาผู้ประกอบการมาค่อนข้างช้า คือเพิ่งเริ่มที่คณะบริหารธุรกิจในปี 1991 และเปิดพื้นที่ในชั้นใต้ดินของโรงแรมทางตอนใต้ของพื้นที่มหาวิทยาลัย ให้บริษัทสตาร์ตอัปได้ใช้เป็นสำนักงาน
เมื่อเงินสนับสนุนจากรัฐลดลงจาก 70% เหลือ 60%ในช่วงทศวรรษ 1990 และมีทีท่าว่าจะลดลงเรื่อย ๆ มหาวิทยาลัยจึงทำงานรวมกับเอกชนมากขึ้น และได้เงินสนับสนุนงานวิจัยเพิ่มขึ้นเพื่อมาทดแทนเงินอุดหนุนจากรัฐ จนในปี 2004 มหาวิทยาลัยจึงตั้ง สำนักงานพันธมิตรอุตสาหกรรมขึ้น และกลายเป็น one-stop shop ให้บริษัทต่าง ๆ สามารถติดต่อในการทำงานวิจัยร่วมกันที่จุดเดียว ความร่วมมือกับภาคเอกชนพัฒนาไปอย่างมาก ทำให้การเชื่อมต่อ และเกิดนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมากมาย จนมหาวิทยาลัยร่วมตั้งกองทุนเงินร่วมลงทุนขึ้น เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังให้การสนับสนุนในการจดสิทธิบัตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของบริษัทนวัตกรรมตั้งใหม่ เพราะเป็นกำแพงไม่ให้คู่แข่งรายอื่นเข้ามาในอุตสาหกรรมได้ง่ายเกินไป ทำให้บริษัทสตาร์ตอัปมีเวลาในการออกแบบสินค้าเข้าสู่ตลาด และยังเป็นแหล่งรายได้หากมีการให้เช่าใช้ต่อไปในอนาคต
เบิร์กลีย์ยังสร้างหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบการ โดยไม่เพียงแต่สร้างทักษะในการบริหารกิจการ แต่ยังสร้างการมีจิตใจเป็นนวัตกร คือต้องมีการบ่มเพาะอุปนิสัยของผู้ประกอบการเพื่อให้ประสบความสำเร็จด้วย อาทิ ความยืดหยุ่น สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ความเห็นต่างที่สร้างสรรค์ การร่วมแรงร่วมใจข้ามศาสตร์ การสร้างความไว้วางใจและความเชื่อถือ การยอมรับความล้มเหลว รวมถึงมีการจำลองสถานการณ์ผ่านประสบการณ์และเกมส์ เพื่อเตรียมผู้ประกอบการเหล่านี้สู่โลกจริง ฯลฯ โดยปัจจุบันได้ขยายเป้าหมายไปส่งเสริมผู้ประกอบการให้เปลี่ยนโลกไปในการที่ดีขึ้น ในวงการธุรกิจและชุมชนหรือสังคมของเขาเหล่านั้น
ในอนาคต เบิร์กลีย์ ต้องการส่งเสริมวัฒนธรรมทางด้านนวัตกรรมและผู้ประกอบการ โดยการสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับนักศึกษาที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกในโลกที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นในทางกิจการเพื่อสังคมค่ะ
สิ่งที่สำคัญที่ต้องหล่าวถึงคือการใช้ประโยชน์และความร่วมมือจากศิษย์เก่า 600,000 คน มีศิษย์เก่าจำนวนมากที่มหาวิทยาลัยสนับสนุนโดยการร่วมลงทุน การให้คำปรึกษา ฯลฯ และเขาเหล่านั้นก็กลับมาช่วยรุ่นน้องต่อไป เป็นการตอบแทนมหาวิทยาลัย และมีการขอให้คำมั่นที่ไม่ได้ผูกมัดว่า เมื่อประสบความสำเร็จทางการเงินแล้วจะบริจาคหุ้นของบริษัทให้กับมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ได้หุ้นมาจริงๆมูลค่าตอนเข้าตลาดหลายสิบล้านดอลลาร์
เบิร์กลีย์จะเน้นเรื่องนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการ (Innovation & Entrepreneurship) โดยในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ จะมีสรุปถึงยุทธวิธีการสร้างระบบนิเวศในการเป็นแนวหน้าในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาน่าสนใจไปหามาอ่านนะคะ
พบกันใหม่ปีหน้าค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกาย สบายใจ และปลอดภัยในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุ้มครองทหารหาญของไทยทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ชายแดน และทุกจุดในโลก มีความปลอดภัย มีสุขสวัสดีด้วยเทอญ







