จาก COP30 สู่แรงงานสีเขียว ไทยพร้อมหรือยัง

การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่ได้รับแรงผลักดันจากการประชุม COP30 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้น 9.6 ล้านตำแหน่ง แต่ก็มีงานที่หายไป 2.4 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

KEY

POINTS

  • การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่ได้รับแรงผลักดันจากการประชุม COP30 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้น 9.6 ล้านตำแหน่ง แต่ก็มีงานที่หายไป 2.4 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
  • ประเทศไทยมีศักยภาพในการเปลี่ยนผ่าน โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "เศรษฐกิจเกิดใหม่ที่น่าจับตามอง" และมีนโยบายที่ชัดเจนรองรับ เช่น แผนพลังงานแห่งชาติ (NEP) ที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า
  • ความพร้อมของไทยขึ้นอยู่กับการพัฒนาทักษะแรงงานสีเขียว ซึ่งยังมีความต้องการสูงในหลายสาขา เช่น วิศวกรพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการพลังงาน และช่างซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับการศึกษาด้าน STEM
  • ความท้าทายสำคัญที่ทำให้ไทยยังไม่พร้อมเต็มที่คือมุมมองของภาคเอกชนที่ว่า การลงทุนด้านพลังงานสะอาดให้ผลตอบแทนช้า ต้นทุนสูง และกฎระเบียบยังเป็นอุปสรรค ซึ่งชะลอการสร้างงานสีเขียว
  • การเตรียมความพร้อมต้องอาศัยความร่วมมือ 3 ส่วน คือ 1) แรงงานต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาทักษะด้านความยั่งยืน 2) ภาคธุรกิจต้องสนับสนุนการเติบโตของพนักงาน และ 3) ภาครัฐต้องปรับหลักสูตรการศึกษาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
  • ภารกิจใหญ่ของไทยคือการเปลี่ยน "เป้าหมายระดับชาติ" ให้เป็นแผนงานที่ปฏิบัติและวัดผลได้จริง พร้อมสร้างกรอบกฎหมายที่เอื้ออำนวย เพื่อให้แรงงานและเศรษฐกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตสีเขียวได้สำเร็จ

การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิลที่เพิ่งสิ้นสุดไป ได้ทิ้งประเด็นสำคัญไว้ให้ทั่วโลกต้องหันกลับมาทบทวนอีกครั้ง นั่นคือในปี พ.ศ.2568 เพียงปีเดียว คาดว่าจะมีก๊าซเรือนกระจกมากถึง 38.1 พันล้านตันถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ และเคยมีการเตือนว่า หากเรายังคงไม่ทำอะไร โลกของเราจะร้อนขึ้นถึง 3.1 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้หรือในปี พ.ศ. 2643 (ค.ศ. 2100) ตัวเลขเหล่านี้กำลังบอกกับพวกเราว่า ณ ปัจจุบัน ความพยายามของประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้นยัง “น้อย” เกินไป

จากแรงกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โลกเราเกือบเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับได้ (“Point of No Return”) ดังนั้น ณ นาทีนี้อาจจะไม่ใช่แค่การปรับนโยบายของแต่ละประเทศ แต่หมายถึงการ “พลิกโฉม” โครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องด้านพลังงานและพลังคน 

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้อ่านรายงาน “Making the Green Transition Work for People and the Economy” ของ World Economic Forum ที่วิจัยร่วมกับ McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ซึ่งชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวอาจทำให้ตำแหน่งงานหายไปกว่า 2.4 ล้านตำแหน่ง ขณะเดียวกันจะมีงานเกิดใหม่กว่า 9.6 ล้านตำแหน่ง เป็นการตอกย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านที่ต้องเกิดขึ้น นั่นคือการพลิกโครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดแรงงานอย่างสิ้นเชิง

คำถามคือแล้วประเทศไทยพร้อมแล้วหรือยังสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ตามรายงานฉบับเดียวกัน ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่ม “เศรษฐกิจเกิดใหม่ที่การพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นที่น่าจับตามอง” ข่าวดีคือประเทศกลุ่มนี้ สามารถใช้การเปลี่ยนผ่านของระบบพลังงานเป็นแรงผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม 

โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีกรอบนโยบายรองรับ เช่น แผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan : NEP) ที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าสู่ร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2580 รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนเป็นร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีทิศทางด้านพลังงานชัดเจนมากขึ้น

ดังนั้น เพื่อให้ไทยพร้อมสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ การพัฒนาทักษะแรงงานจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านความยั่งยืนจากฝั่งอุปสงค์ (Demand) เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าอุปทาน (Supply) ย่อมตามมา เพราะตลาดแรงงานยังต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนอีกหลายแขนง อาทิ วิศวกรพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการพลังงาน วิศวกรออกแบบแบตเตอรี่และระบบจัดการความร้อน และช่างซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยการยกระดับการศึกษาที่เชื่อมโยงความยั่งยืนเข้ากับวิทยาการทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพตรงตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ในแง่ความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงาน รายงานฉบับนี้ได้ให้ข้อมูลอีกว่า ผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามจากบริษัทของไทยร้อยละ 40 มองว่าการลงทุนด้านพลังงานสะอาดให้ผลตอบแทนช้า ร้อยละ 34 ระบุว่าต้นทุนพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขัน และอีกร้อยละ 33 มองว่ากฎระเบียบและภาระการปฏิบัติตามข้อกำหนดยังเป็นปัญหา เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนเหล่านี้ชี้ชัดว่าไทยยังต้องพัฒนากลไกและความชัดเจนของนโยบาย ตลอดจนการลดความเสี่ยงด้านต้นทุน เมื่อความท้าทายนี้ได้รับการจัดการ นั่นหมายถึงตำแหน่งงานกลุ่มที่กล่าวมาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

การพัฒนาโครงสร้างด้านเศรษฐกิจสีเขียว ต้องอาศัยการบูรณาการ 3 มิติ ส่วนแรก แรงงานต้องเร่งปรับตัวเพื่อเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะโดยเฉพาะด้านความยั่งยืน พร้อมเรียนรู้กับการเปลี่ยนแปลงของโลก ส่วนที่สองภาคธุรกิจควรสนับสนุนแรงงานผ่านการสร้างแพลตฟอร์มให้พนักงานมีโอกาสในการเติบโตในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะทักษะการใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) ที่สามารถช่วยเพิ่มทั้งผลิตผล (Productivity) และประสิทธิภาพ (Efficiency)

และส่วนสุดท้ายภาครัฐควรสร้างแรงส่ง ทั้งการปรับนโยบายหลักสูตรการศึกษาเพื่อยกระดับแรงงานในทุกระดับ  พร้อมเดินหน้าลงทุนในการสร้างระบบข้อมูลแรงงานตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความยั่งยืนเพื่อรองรับกับทักษะแรงงานที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น ภารกิจใหญ่คือการร่วมกันกำหนดแนวทางการเปลี่ยน “เป้าหมายใหญ่ระดับชาติ” ด้านโครงสร้างเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ให้แปรเปลี่ยนเป็นแผนงานที่สามารถดำเนินการและวัดผลได้จริง ตลอดจนการสร้างกรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน         

นอกจากนี้ ธุรกิจใหญ่ๆ ควรเร่งส่งเสริมการสร้างการตระหนักรู้ของธุรกิจเล็กๆ ในห่วงโซ่อุปทานให้เข้ามามีส่วนกับการสร้างระบบเศรษฐกิจและพลังงานสะอาดบนพื้นฐานของหลักการด้านความยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนเดินหน้าเปลี่ยนผ่านไปพร้อมกัน

เมื่อใจพร้อมแก้ปัญหา แรงคนต้องพร้อมเช่นกันครับ การจะเปลี่ยนโฉมโครงสร้างระบบพลังงานของไทย พร้อมยกระดับทักษะของคนไทยให้พร้อมรับมือวิกฤติโลกร้อนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะการฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก แต่เพื่อให้ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพันธสัญญาตาม NDC 3.0 ที่เราเพิ่งส่งมอบไปใน COP30 การประสานพลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจแบบเข้มข้นเท่านั้น จึงจะนำพาให้เราฝ่ามรสุมนี้เพื่ออนาคตสีเขียวอย่างแท้จริง รีบลงมือตั้งแต่วันนี้ เพราะเรามีโลกแค่ใบเดียวครับ