ไม่ปรับ ไม่รอด: ก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดแห่งอนาคตด้วย Transformational M&A

ไม่ปรับ ไม่รอด: ก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดแห่งอนาคตด้วย Transformational M&A

ในโลกธุรกิจที่ผันผวน การเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่เพียงพออีกต่อไป Transformational M&A หรือการควบรวมและซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญในการปรับตัวและสร้างความได้เปรียบเพื่อความอยู่รอดและเป็นผู้นำตลาด

KEY

POINTS

  • ในโลกธุรกิจที่ผันผวน การเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่เพียงพออีกต่อไป Transformational M&A หรือการควบรวมและซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญในการปรับตัวและสร้างความได้เปรียบเพื่อความอยู่รอดและเป็นผู้นำตลาด
  • บริษัทที่ใช้แนวทาง Transformational M&A มีผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน โดยสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดถึง 2 เท่า (464% เทียบกับ 157%) พร้อมเข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดใหม่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • การนำ Transformational M&A มาใช้ให้สำเร็จต้องอาศัย 6 แนวทางปฏิบัติสำคัญ คือ: ทำให้เป็นวาระของผู้นำ, บริหารพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง, ผสานการเปลี่ยนแปลงเข้ากับทุกดีล, ใช้ AI และเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน, สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และพัฒนาบุคลากรให้พร้อมสำหรับอนาคต
  • สำหรับธุรกิจไทย การนำกลยุทธ์ Transformational M&A มาใช้ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องตัดสินใจอย่างกล้าหาญและรวดเร็ว เพื่อแข่งขันและก้าวสู่การเป็นผู้นำในอนาคต เพราะการไม่เปลี่ยนแปลงคือความเสี่ยงที่สูงที่สุด

ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเติบโตทางธุรกิจแบบดั้งเดิมที่อาศัยการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปเริ่มไม่เพียงพออีกต่อไป งานวิจัยล่าสุดของ ดีลอยท์ ชี้ว่า บริษัทที่มองการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) เป็นความสามารถเชิงกลยุทธ์ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงการทำการซื้อขายแบบครั้งคราว มีผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน

บริษัทเหล่านี้ใช้แนวทาง Transformational M&A ซึ่งเป็นการผสานกลยุทธ์ด้านการซื้อขายกิจการ การขายสินทรัพย์ การสร้างพันธมิตร และความร่วมมือในหลากหลายรูปแบบ โดยมีการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและวัฒนธรรมองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ แนวทางนี้ทำให้องค์กรสามารถปรับตัวได้เร็วขึ้น ขยายธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่ยังคงพึ่งพาการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยปรับปรุงการดำเนินงานเพียงเล็กน้อย หรือการอัปเดตสินค้าเป็นครั้งคราว จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพวกเขากำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การเติบโตของ AI การกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น ไปจนถึงการแข่งขันระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ การไม่เปลี่ยนแปลงอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนเชิงกลยุทธ์ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Transformational M&A จึงจำเป็น เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถเปลี่ยนแปลงและ “ทำดีล” ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล

ประสิทธิผลของแนวทางนี้พิสูจน์ได้จากผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน จากการวิเคราะห์ดีลกว่า 2,000 รายการในช่วงปี 2558-2567 พบว่า บริษัทที่ใช้ Transformational M&A สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 464 มากกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 1200 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 157 กว่า 2 เท่า นอกจากนั้นบริษัทเหล่านี้ยังได้รับข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ เช่น การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่อย่างรวดเร็ว การเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ได้เร็วขึ้น และการเสริมความยืดหยุ่นต่อความปั่นป่วนในอนาคต จะเห็นได้ว่าสำหรับหลายองค์กร M&A ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มขีดความสามารถ แต่เป็นการสร้างอัตลักษณ์ในการทางการแข่งขันทางธุรกิจอย่างแท้จริง

เมื่อมาถึงจุดนี้ คำถามสำคัญคือ ผู้นำธุรกิจจะทำให้ Transformational M&A กลายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ขององค์กรได้อย่างไร? แนวทาง Transformational M&A เกิดจากชุดวิธีปฏิบัติ 6 ประการ ได้แก่

1. ทำให้ Transformational M&A เป็นวาระระดับผู้นำ: การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากระดับบนสุด บริษัทที่มุ่งเติบโตจะมอง M&A เป็นภารกิจเชิงกลยุทธ์ระยะยาว ผู้บริหารกำหนดวิสัยทัศน์ สื่อสารเหตุผล และนำพาองค์กรผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน

2. บริหารพอร์ตอย่างต่อเนื่อง (Always-on Portfolio Management): องค์กรชั้นนำจะประเมินและปรับพอร์ตโฟลิโออยู่เสมอ ไม่รอเวลาที่ “เหมาะสม” แต่ใช้การซื้อ การขายสินทรัพย์ หรือการสร้างพันธมิตรเพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต ความยืดหยุ่นและคุณค่าทางธุรกิจ

3. ผสานการเปลี่ยนแปลงเข้ากับทุกดีล: บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะผสานการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านดิจิทัล วัฒนธรรม หรือโมเดลธุรกิจเข้ากับกระบวนการทำดีลตั้งแต่วันแรก ทำให้เกิด Synergy ได้เร็วขึ้นและลดปัญหาหลังการรวมกิจการ

4. นำ AI และเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน: เทคโนโลยีเปลี่ยนบทบาทจากเครื่องมือสนับสนุนหลังบ้าน มาเป็นตัวขับเคลื่อนคุณค่าทางกลยุทธ์ ดีลจำนวนมากในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การสร้างขีดความสามารถด้านดิจิทัล ฐานข้อมูล และแพลตฟอร์มที่สร้างรายใหม่ ๆ

5. ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและระบบนิเวศธุรกิจ: แทนที่จะพัฒนาทุกอย่างเอง บริษัทชั้นนำจะร่วมมือกับสตาร์ทอัพ Private Equity ผู้ให้บริการเทคโนโลยี หรือแม้แต่พันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม เพื่อสร้างให้ขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว

6. สร้างบุคลากรที่พร้อมสำหรับอนาคต: องค์กรต้องลงทุนในทักษะดิจิทัล การเรียนรู้ต่อเนื่อง และวิธีทำงานแบบ Agile พร้อมทั้งสร้างวัฒนธรรมและความสามารถให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์

การวางแผน M&A เชิงกลยุทธ์ การสร้างองค์กรแบบ Digital First และการสร้างความคล่องตัวขององค์กร ไม่ใช่สิ่งที่ “ทำหรือไม่ทำก็ได้” แต่เป็นความจำเป็นในการแข่งขัน บริษัทที่ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงนี้จะสามารถแซงคู่แข่ง เปิดตลาดใหม่ในภูมิภาค และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนและพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยเหตุนี้ ผู้นำธุรกิจไทยต้องคิดให้ใหญ่ขึ้น และตัดสินใจด้วยความกล้ามากขึ้น การทำให้ Transformational M&A เป็นแผนกลยุทธ์จึงกลายเป็นความจำเป็นในการแข่งขัน การหยุดรอดูไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป บริษัทไทยที่ไม่เพียงต้องการการอยู่รอดแต่ต้องการเป็นผู้นำจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ และสร้างความสามารถในการเปลี่ยนแปลงให้ได้อย่างรวดเร็ว

แหล่งอ้างอิง: https://www.deloitte.com/global/en/offices/apac/perspectives/asia-pacific-the-growth-transformers-playbook.html 

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนโดย พรพรรณ เวสารัชเวศย์ Strategy, Risk & Transactions Partner และก้องเกียรติ จตุพรภักดี Strategy, Risk & Transactions Partner ดีลอยท์ ประเทศไทย