ประธานาธิบดีสันติภาพหรือ

ประธานาธิบดีสันติภาพหรือ

ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยหวังว่าจะช่วยให้ตนเองได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ

KEY

POINTS

  • ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยหวังว่าจะช่วยให้ตนเองได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ
  • ความพยายามที่จะโทรศัพท์มาสั่งให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงอาจไม่ได้ผลเหมือนครั้งที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ของสหรัฐฯ เองที่เปลี่ยนไป
  • อำนาจและอิทธิพลของทรัมป์ในประเทศกำลังเสื่อมถอยลงอย่างหนัก จนถูกเรียกว่าเป็น "ประธานาธิบดีเป็ดง่อย" (lame duck president) ซึ่งลดทอนความน่าเชื่อถือในการแทรกแซงระหว่างประเทศ
  • เงื่อนไขของทั้งไทย (มีรัฐบาลรักษาการ) และกัมพูชา (มีความขัดแย้งภายใน) ก็เปลี่ยนไป ทำให้การกดดันของทรัมป์ครั้งนี้เจอความซับซ้อนและอาจไม่เป็นผล

นอกจากข่าวเศรษฐกิจที่เปราะบางของสหรัฐซึ่งนำมาสู่เสียงเรียกร้องและประท้วงจากประชาชนชาวอเมริกัน เรื่องเงินเฟ้อ 2.8%-3% และอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น 4%-4.4% จนมีการเมืองกดดันต่อ FED ให้ตัดสินใจแบบเสียงแตกยอมลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เหลืออยู่ที่ 3.5%-3.75% และค่าธรรมเนียมประกันสุขภาพซึ่งจะสูงเฉลี่ย 27,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี

มีข่าวการเมืองในสหรัฐซึ่งดูเหมือนเป็นข่าวเล็กๆแต่อาจเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องความเสื่อมของอำนาจและอิทธิพลของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเข้ามาบริหารประเทศครั้งที่สองเป็นเวลาเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งปี

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2025 ผลการลงคะแนนเสียงในสภาผู้แทนฯ ช็อกวงการเมืองในวอชิงตันดีซี เนื่องจากสมาชิกพรรครีพับลิกัน 20 คนข้ามฝั่งมาลงคะแนนเสียงร่วมกับฝ่ายตรงข้ามคือพรรคเดโมแครต ทำให้ผลออกมาด้วยคะแนน 231 ต่อ 195

เป็นการยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีที่ลิดรอนสิทธิสหภาพแรงงานของพนักงานรัฐบาลกลาง ซึ่งทำเนียบขาวชุดปัจจุบันพยายามด้อยค่าและลดจำนวนลง การลงคะแนนเสียงครั้งนี้ทำให้สิทธิของพนักงานมากถึง 1 ล้านคนได้รับการคุ้มครองต่อไป

เรื่องนี้เป็นหลักฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งว่านักการเมืองในรัฐสภา-ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาฝ่ายอนุรักษนิยมพรรครีพับลิกัน-เริ่มกล้าแสดงออกถึงความกล้าหาญฝืนการกดดันจากฝ่ายบริหารโดยตัดสินใจตามที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งถูกต้องและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่เลือกตนเองเข้ามา

คาดว่านักการเมืองเหล่านี้จะถูกลงโทษโดยทีมทรัมป์อย่างแน่นอน เพราะหากปล่อยให้สมาชิกพรรครีพับลิกันแสดงออกโดยอิสระก็อาจจะควบคุมอย่างเข้มงวดไม่ได้

แต่พวกเขาอาจไม่กลัวเพราะสัญญาณค่อนข้างชัดว่า ‘ทรัมป์กำลังอยู่ในระหว่างขาลง’

การสำรวจประชามติล่าสุดโดย The Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research พบว่าชาวอเมริกันเพียงแค่ 31% สนับสนุนวิธีการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่ 67% ไม่เห็นด้วย ที่น่าตกใจคือเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้นเคยมีเสียงสนับสนุนอยู่ที่ 40%

ส่วนเรื่องนโยบายผู้อพยพและคนเข้าเมืองซึ่งเป็นหัวใจหลักในการหาเสียงนั้นคะแนนนิยมลดลงเหลือเพียงแค่ 38% โดยมีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 60% (ตำหนิและประณามการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ)

ส่วนความนิยมต่อการบริหารประเทศโดยทั่วไปของทรัมป์ การบริหารรัฐบาลประเทศโดยทั่วไปของ ลดลงเหลือ 36% เท่านั้น และ 61%ไม่ให้การสนับสนุนอีกต่อไป

สื่อหลายสำนักจึงให้สมญาประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “ประธานาธิบดีขาลง” “ประธานาธิบดีเป็ดง่อย” “lame duck president” หมายถึงผู้นำที่อีกไม่นานจะหมดอำนาจ และอิทธิพลเสื่อมลง เช่น ไม่สามารถจะลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามเป็นประธานาธิบดีเกินสองสมัย หรือเป็นผู้ที่มีความนิยมตกต่ำมากและบริหารบ้านเมืองล้มเหลว

ในกรณีของทรัมป์-ความขัดแย้งทางฝ่ายขวาหรืออนุรักษนิยมเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตในระยะนี้ โดยมีนักการเมืองหลายคนประกาศว่าจะไม่ลงเลือกตั้งครั้งหน้าอีกแล้วและจะเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นหรือบางคนบอกว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะลาออกจากตำแหน่งแล้วเนื่องจากไม่สามารถจะไปพบปะกับประชาชนได้เพราะจะถูกตำหนิและประณาม

หากสมาชิกสภาผู้แทนของสหรัฐฯฝ่ายรีพับลิกันเพียงสามคนลาออก จะทำให้สูญเสียเสียงข้างมากไปทันที และทำให้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนซึ่งเป็นประธานของทั้งสองสภาและเป็นอำนาจสูงสุดอันดับที่สามของประเทศนั้นเปลี่ยนไปเป็นของพรรคเดโมแครตทันที

แนวโน้มปัจจุบันค่อนข้างชัดว่าการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า (ค.ศ. 2026) ฝ่ายเสรีนิยมคือเดโมแครตจะกวาดที่นั่งเพิ่มอีกเป็นจำนวนมากและจะยึดเสียงข้างมากกลับไป เป็นการเปลี่ยนดุลอำนาจเพิ่มการต่อรองของฝ่ายนิติบัญญัติและควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหารคือทำเนียบขาวทันที

นั่นหมายถึงนโยบายสุดโต่งปัจจุบันจะถูกขัดขวางและยับยั้ง รวมทั้งที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นคือ การสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีต่างๆที่ฝ่ายบริหารในปัจจุบันทำอยู่และเป็นลักษณะของการรื้อทำลายกฎระเบียบและประเพณีการบริหารรัฐที่ทำให้สหรัฐเป็นประเทศผู้นำของโลก

การแก้แค้นทางการเมืองคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจเห็นสหรัฐภายในต้นปีหน้าหรือยังช้าไม่เกินปลายปี 2026 เป็นการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างสองฝ่าย

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทยรอบสองที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ เป็นหนึ่งในคะแนนที่ทรัมป์สะสมเพื่อหวังให้ตนเองได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ และการแจ้งว่าจะโทรศัพท์มาหาผู้นำกัมพูชาและไทยเพื่อให้หยุดยิงโดยทันทีนั้นอาจไม่ได้ผลเหมือนครั้งที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ของสหรัฐฯเองก็เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันเงื่อนไขของไทยและกัมพูชาก็เปลี่ยนไปด้วย

การปะทะกันของกองทัพไทยและกัมพูชาเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม แต่การโทรศัพท์มาแทรกแซงของทรัมป์ผ่านไปหลายวันจนเป็นที่ผิดสังเกต ฝ่ายกัมพูชาซึ่งเป็นผู้เริ่มจุดชนวนศึกครั้งนี้คงวางแผนว่า ‘ผู้นำอเมริกาจะเข้ามาระงับศึกอย่างรวดเร็วภายในไม่เกิน 1-2 วัน’ แต่เมื่อผ่านไปหลายวัน จึงเป็นโอกาสทองของกองทัพไทยที่มุ่งปฏิบัติป้องกันอันตรายในอนาคตโดยประกาศจะทำลายสมรรถนะของกองทัพกัมพูชาให้สิ้นสภาพ

เมื่อทรัมป์โทรศัพท์มากดดันทั้งกัมพูชาและไทย เข้าใจว่าจะเจอความซับซ้อนครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่แล้ว

กรณีของไทยนั้น เรื่องการยุบสภาเป็นข้ออ้างที่มีน้ำหนัก เนื่องจากนายกฯอนุทินคืนอำนาจให้ประชาชนไปแล้ว รัฐบาลรักษาการของไทยก็คงทำได้เพียงแค่แบ่งรับแบ่งสู้และอธิบายเหตุผลว่าไทยไม่ได้ละเมิดปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ขณะเดียวกันจะร่วมมือกับสหรัฐปราบปรามสแกมเมอร์ การฟอกเงินและการค้ามนุษย์ที่กัมพูชาคือศูนย์กลางและผู้นำกัมพูชาอยู่เบื้องหลัง

ส่วนทางกัมพูชา มีข่าวลือหนาหูขึ้นว่า ชนระดับสูงเป็นจำนวนมากกำลังผลักดันทางลับและลงขันทางการเงินเพื่อหวังเปลี่ยนผู้นำจากระบอบฮุนเซนเป็นบุคคลอื่น ซึ่งอาจเป็นนักการเมืองภายในกัมพูชาหรือรัฐบาลพลัดถิ่น โดยการรีบทำเพราะกลัวจีนจัดการเปลี่ยนตามแผนสำรองที่วางไว้

ในนามของชาวไทยในสหรัฐ ผมขอส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวไทยปลอดภัยทุกท่านโดยเฉพาะทหารไทยทุกคนและครอบครัวครับ