โค้งสุดท้ายกับโอกาสลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี

การลงทุนในกองทุน RMF และ Thai ESG เป็นทางเลือกยอดนิยมในช่วงปลายปีเพื่อลดหย่อนภาษีและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว กองทุน RMF สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขต้องลงทุนต่อเนื่องและถือครองจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
KEY
POINTS
- การลงทุนในกองทุน RMF และ Thai ESG เป็นทางเลือกยอดนิยมในช่วงปลายปีเพื่อลดหย่อนภาษีและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
- กองทุน RMF สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขต้องลงทุนต่อเนื่องและถือครองจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- กองทุน Thai ESG เป็นสิทธิประโยชน์ใหม่ที่ให้วงเงินลดหย่อนแยกต่างหากสูงสุด 300,000 บาท โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ไทยที่ดำเนินงานตามหลัก ESG และมีเงื่อนไขถือครอง 5 ปีนับจากวันที่ลงทุน
- นักลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ทั้งสองประเภทพร้อมกัน ทำให้มีวงเงินลดหย่อนสูงสุดรวม 800,000 บาท (RMF และกลุ่มเกษียณ 500,000 บาท และ Thai ESG อีก 300,000 บาท)
- RMF มีความหลากหลายของสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนมากกว่า ทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่ Thai ESG จะมีความเสี่ยงกระจุกตัวในตลาดประเทศไทยเป็นหลัก
- กลยุทธ์สำคัญคือควรตรวจสอบสิทธิลดหย่อนที่ยังเหลืออยู่ เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของตนเอง และต้องลงทุนก่อนสิ้นปีเพื่อใช้สิทธิในปีภาษีนั้นๆ
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี หลายคนเริ่มวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการลงทุนในกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น RMF และ Thai ESG Fund ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และกลยุทธ์การลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
ทำไมต้องลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี?
การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นการใช้สิทธิที่กฎหมายให้เพื่อช่วยลดภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเงินที่ลงทุนไม่เพียงช่วยประหยัดภาษี แต่ยังสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ สำหรับในบทความนี้จะเน้นไปที่กองทุน RMF และ Thai ESG
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
RMF มีหลายประเภท เช่น กองทุนหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ ผสม ฯลฯ สามารถกระจายความเสี่ยงได้ตามอายุและความเสี่ยงที่รับได้ นักลงทุนสามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 30% ของรายได้ และรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ต้องลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือซื้อปีเว้นปีก็ได้ แต่ไม่ซื้อขาดเกิน 1 ปีติดต่อกัน และถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี และจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และสามารถสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน RMF ด้วยกันได้ โดยไม่นับเป็นการซื้อใหม่
ประเภท RMF ที่น่าสนใจ
· RMF ตราสารหนี้ไทย: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เอกชนในประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ แต่มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
· RMF หุ้นไทย: ลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทยและต้องการผลตอบแทนสูงในระยะยาว ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนผันผวนตามตลาดหุ้นไทย
· RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ต่างประเทศหรือสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในทองคำหรือตราสารที่อ้างอิงราคาทองคำ กองทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ฯลฯ โดยกองทุนที่เน้นลงทุนในต่างประเทศเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสจากเศรษฐกิจโลก มีทั้งแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบางส่วน และป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจของผู้จัดการกงทุน โดยการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินจะช่วยลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนจากตลาดต่างประเทศโดยไม่เสี่ยงค่าเงิน ในขณะที่กองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินจะเปิดโอกาสรับผลบวกจากการแข็งค่าของสกุลเงิน แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงจากการอ่อนค่า
· RMF ที่ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset): ลงทุนผสมระหว่างหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และสินทรัพย์ทางเลือก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ลดความผันผวนจากการกระจายการลงทุน
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีการดำเนินงานตามหลัก สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อาทิ หุ้นที่ผ่านเกณฑ์ ESG ตราสารหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) ตราสารหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) ตราสารหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) โทเคนดิจิทัลสำหรับโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยเฉลี่ยในรอบบัญชี >80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ จึงมีความหลากหลายน้อยกว่า RMF และมีความเสี่ยงกระจุกตัวในตลาดไทย นอกจากนี้ ThaiESG ที่เป็นตราสารหนี้จะมีอายุเฉลี่ยยาวกว่ากองทุนทั่วไป เนื่องจากตราสารหนี้ ESG ส่วนใหญ่มีอายุยาว ส่งผลให้กองทุนมีความผันผวนสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ทั่วไป แต่ในระยะยาวมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ในด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี นักลงทุนสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (ไม่รวมวงเงินกลุ่มเกษียณที่รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท) ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปีนับจากวันที่ลงทุน สิ่งที่ต้องระวังคือ นักลงทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ต่อเมื่อลงทุนในกองทุน ThaiESG ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเท่านั้น หากลงทุนในกองทุน ThaiESG ปกติ จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี นอกจากนี้ ไม่สามารถลงทุนเพิ่มใน ThaiESGX ได้ในปีนี้ เนื่องจากปิดการขายสำหรับปีนี้ไปแล้ว
RMF หรือ Thai ESG
นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้ง RMF และ Thai ESG เนื่องจากนับวงเงินลงทุนแยกจากกัน กล่าวคือ กลุ่มการออมเพื่อการเกษียณ (RMF, กอช., กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) มีวงเงินลดหย่อนภาษีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และ ThaiESG มีวงเงิน 300,000 บาท รวมแล้วนักลงทุนมีวงเงินลดหย่อนสูงสุด 800,000 บาท
นักลงทุนควรตรวจสอบสิทธิในการลดหย่อนภาษีที่ยังเหลืออยู่ เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของตนเอง และลงทุนก่อนสิ้นปีเพื่อใช้สิทธิในปีภาษีนั้น อย่างไรก็ตาม ต้องระวังการขายกองทุนก่อนครบกำหนดเพราะจะต้องคืนสิทธิและเสียเบี้ยปรับ รวมถึงตรวจสอบค่าธรรมเนียมและนโยบายของกองทุนอย่างละเอียด และอย่าลงทุนเพียงเพื่อสิทธิภาษี แต่ควรให้สอดคล้องกับแผนการเงินระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนที่เหมาะสมในอนาคต
ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงการลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน รวมถึงติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ







