ทองคำปรับตัวรอบใหญ่

ทองคำปรับตัวรอบใหญ่

ราคาทองคำที่สูงเกิน 3,800 เหรียญต่อออนซ์มีการเก็งกำไรมากเกินไป และแม้ทองคำจะยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ราคา ณ ปัจจุบันที่เกิน 4,000 เหรียญต่อออนซ์ถือว่าแพงเกินไป อย่างไรก็ตาม การปรับฐานรอบนี้คาดว่าจะไม่ยาวนานเหมือนในอดีต เนื่องจากมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาในตลาดทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

KEY

POINTS

  • ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง 6.3% ในวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 12 ปี หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 4,381.48 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 20 ตุลาคม
  • สาเหตุของการปรับตัวลงเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน ได้แก่ ราคาที่ปรับขึ้นมาเร็วและสูงถึง 30.8% ใน 2 เดือน, การกลับมาแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ, สัญญาณทางเทคนิคที่บ่งชี้ภาวะ "ซื้อมากเกินไป" และแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุน
  • ปัจจัยเสริมที่ทำให้ราคาลดลงคือการที่ตลาดอินเดียซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ปิดทำการเนื่องในเทศกาลดิวาลี ทำให้แรงซื้อหายไปในช่วงที่ตลาดตะวันตกเปิดทำการ
  • ผู้เขียนมองว่าราคาที่สูงเกิน 3,800 เหรียญต่อออนซ์มีการเก็งกำไรมากเกินไป และแม้ทองคำจะยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ราคา ณ ปัจจุบันที่เกิน 4,000 เหรียญต่อออนซ์ถือว่าแพงเกินไป
  • อย่างไรก็ตาม การปรับฐานรอบนี้คาดว่าจะไม่ยาวนานเหมือนในอดีต เนื่องจากมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาในตลาดทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

วันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ในช่วงระหว่างการซื้อขาย โดยปรับลดลงถึง 6.3% ในระหว่างการซื้อขาย ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 12 ปี เลยทีเดียว ทำให้มีคำถามว่าทองคำหมดรอบลงทุนแล้วหรือยัง

ในรอบนี้ ราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยมีการพักฐานเป็นระยะสั้นๆในช่วง พฤษภาคม และพฤศจิกายน และในช่วงเมษายน ถึงกลางสิงหาคม 2568 พักฐานอยู่ในระดับ 3,200-3,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หลังจากนั้น ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆเกือบทุกวัน นานๆจะปรับลดลงสัก 1-2 วัน จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม ที่ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดที่ 4,381.48 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และปิดตลาดที่ราคา 4,355 เหรียญต่อออนซ์

พอวันที่ 21 ตุลาคม ตลาดเอเชียมีแรงขายเล็กน้อย แต่ไม่ใช่การปรับตัวรอบใหญ่ แต่เมื่อตลาดใหญ่อันดับหนึ่งในการบริโภค (ใช้ทำเครื่องประดับ) คือ อินเดีย ปิด เนื่องจากเทศกาลดิวาลี (Diwali Festival) หรือ ดีปาวลี (Deepavali) ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของอินเดีย แรงซื้อจึงหายไป เมื่อยุโรปเปิดตลาด ราคาก็ปรับตัวลงไปอีก เมื่อตลาดนิวยอร์คเปิดในระดับราคาที่ลดลงไปที่ 4,224 เหรียญ แต่ซื้อขายไปได้ไม่นาน ก็มีแรงเทขาย ทำให้ราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 4,002.40 เหรียญต่อออนซ์ ก่อนจะค่อยๆปรับสูงขึ้นและปิดที่ 4,123.96 เหรียญต่อออนซ์

การปรับตัวลดลงของทองคำในครั้งนี้มีหลายสาเหตุเข้ามาประจวบเหมาะกัน คือ 1). ราคาปรับขึ้นมา 30.8% ในเวลาเพียง 2 เดือน จาก 3,348 เหรียญต่อออนซ์ ในวันที่ 26 สิงหาคม มาสู่ 4,381.48 เหรียญในวันที่ 20 ตุลาคม 2). ส่วนหนึ่งของการปรับขึ้นของราคาทองคำมาจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และส่วนหนึ่งของการตกลงของราคาเกิดจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น (เงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นเงินสกุลหลักในการซื้อขายทองคำ ซึ่งอ่อนค่าลงในช่วงกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนกันยายน โดยดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ ลดจาก 110 เหลือ 96.1 หรือลดลง 12.6% ทำให้ราคาทองคำที่คิดเป็นเงินดอลลาร์สูงขึ้น และคนที่มีเงินดอลลาร์ กลัวว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงอีกจึงหันมาถือทองคำ ราคาทองจึงขึ้นไปสูงสุดในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเงินดอลลาร์สหรัฐกลับไปแข็งค่าขึ้นอีก เป็น 99.04 ในวันที่ 23 ตุลาคม ราคาทองคำก็ถูกกดดันให้ตกลงมาเพิ่มเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์) 3). จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมากจนติดกรอบบนมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ราคา 3,800 เหรียญต่อออนซ์แล้ว และอยู่ในเขต “ถูกซื้อมากเกินไป” จึงถึงเวลาพักฐานบ้าง 4) ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนมีต้นทุนที่ต่ำกว่านี้ ไม่ว่าจะขายในราคาต่ำลงไป 5%-10% ก็ยังมีกำไร

อย่างไรก็ดี จากความไม่มั่นใจในภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ความกลัวสงคราม และความกลัวเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และกลัว “ตกรถ” ผู้ลงทุนส่วนหนึ่งจึงยังคงเดินหน้าที่จะซื้อทองคำสะสมต่อไป โดยเฉพาะเมื่อราคาปรับตัวลง

จากข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 4,039.65 เหรียญต่อออนซ์ ซึ่งในวันที่ 22 ตุลาคมยังไม่หลุดแนวรับนี้ และวันที่ 23 ตุลาคมราคาในเอเชียยืนอยู่เหนือแนวรับได้ และแนวรับที่สองอยู่ที่ 3,708 เหรียญต่อออนซ์ แต่หากดูแนวรับระยะปานกลาง จะอยู่ที่ 3,565 เหรียญต่อออนซ์ และแนวรับหลักอยู่ที่ 2,989 เหรียญต่อออนซ์

สำหรับดิฉัน ราคาขาขึ้นที่เกินกว่า 3,800 เหรียญต่อออนซ์ เป็นการขึ้นที่ผสมการเก็งกำไรมากเกินไป และไม่คิดว่าธนาคารของชาติต่างๆที่ซื้อทองคำเข้าไปเป็นทุนสำรอง จะรีบร้อนเข้าซื้อในราคาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในระดับเกิน 4,000 เหรียญต่อออนซ์ค่ะ

แต่การตกรอบนี้คงไม่ซึมยาว 6 ปีแบบรอบที่แล้ว เพราะมีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยส่วนหนึ่ง เปลี่ยนจากการลงทุนในพันธบัตรมาลงทุนในทอง เพราะกังวลว่า รัฐบาลของประเทศต่างๆล้วนแล้วแต่ขาดดุลงบประมาณ ดังนั้นพันธบัตรของรัฐบาลต่างๆในโลกนี้จึงมีความปลอดภัยที่น้อยลงกว่าสมัยก่อนโควิดระบาด เห็นได้จากการเติบโตของกองทุนตลาดรองทองคำ (Gold ETF) ซึ่งมีขนาด 472,000 ล้านเหรียญ ณ สิ้นไตรมาสสามของปีนี้ และขนาดของตลาดทองคำรวมตลาดทองแท่ง เหรียญทอง และกองทุนอีทีเอฟ ประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับประมาณ 1% ของสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลก

ปัจจุบันธนาคารกลางของประเทศต่างๆ มีทองคำเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ย 19% ของเงินสำรอง มีเงินดอลลาร์สหรัฐ 43% เงินยูโร 15% เงินหยวนของจีน 2% และอื่นๆอีก 21%

ใน 20 ปีที่ผ่านมา ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นมากจากความต้องการลงทุน โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่ง ทำให้ทั้งโลกปั่นป่วน ตลาดลงทุนต่างๆมีความผันผวนอย่างมาก ความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นมากในไตรมาสที่หนึ่ง (551.2 ตัน) และแซงความต้องการทองคำเพื่อใช้ทำเครื่องประดับ (425.4 ตัน) ในขณะที่ธนาคารกลางก็เพิ่มการซื้อทองคำด้วย (248.6 ตัน) ส่วนความต้องการทองคำเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มีเพียง 80.4 ตัน ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีราคาเฉลี่ยที่ 2,859.6 เหรียญต่อออนซ์

เมื่อเปรียบเทียบกับ ไตรมาสแรกของสิบปีที่แล้ว คือในปี 2558 ความต้องการใช้ทองคำเพื่อทำเครื่องประดับสูงถึง 623.4 ตัน ความต้องการลงทุน 293.5 ตัน ความต้องการของธนาคารกลางเพื่อเป็นทุนสำรอง 103.1 ตัน และความต้องการเพื่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี 85.3 ตัน มีราคาเฉลี่ย 1,218.5 เหรียญต่อออนซ์

สรุป ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีอยู่ ยังมีความน่าสนใจ แต่ ณ ราคาเกิน 4,000 เหรียญต่อออนซ์ แพงเกินไปค่ะ