ทรัมป์ 2.0 ‘ประธานาธิบดีสันติภาพ แต่ใยทำสงครามสารพัดทิศ’

ทรัมป์ 2.0 ‘ประธานาธิบดีสันติภาพ แต่ใยทำสงครามสารพัดทิศ’

ภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯได้เก็บมาแล้วกว่า 150,000 ล้านดอลล่าร์ อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงว่าต้องคืนให้กับผู้ชำระซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้า หากศาลฎีกาของสหรัฐฯตัดสินในวันฝที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 ว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจออกคำสั่งเรื่องนี้โดยการอ้างภาวะฉุกเฉิน ซึ่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯให้อำนาจการอนุมัตินโยบายภาษีทุกอย่างเป็นของรัฐสภา

KEY

POINTS

  • แม้ทรัมป์จะพยายามสร้างภาพลักษณ์ "ประธานาธิบดีสันติภาพ" ผ่านการเจรจาหยุดยิงในวิกฤตอิสราเอล-กาซ่า และอ้างว่าจะมาเป็นประธานตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา แต่โลกกลับยังคงร้อนรุ่มด้วยความขัดแย้ง
  • ทรัมป์ได้เปิดฉาก "สงครามภาษี" กับจีนอีกครั้ง โดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอย่างมหาศาลเป็น 130% และขู่ว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับสันติภาพ
  • สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ กำลังสร้างความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามโดยตรงกับรัสเซีย โดยมีข่าวลือว่าจะส่งมอบขีปนาวุธ Tomahawk ให้ยูเครน ซึ่งรัสเซียเตือนว่าอาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ได้
  • นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ (Trump Tariff) ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงภายในสหรัฐฯ เอง ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น และเกิดปัญหาการว่างงาน
  • ทรัมป์สร้างความตึงเครียดทางการทูตในภูมิภาคอาเซียน โดยตั้งเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมประชุมโดยกีดกันจีนออกจากพิธีระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่

หลังจากผิดหวังที่ไม่ได้รางวัลโนเบลสันติภาพในปีนี้ ก็ดูเหมือนประธานาธิบดีสหรัฐฯและคนใกล้ชิดตั้งสติลุยหน้าต่อไป กดดันให้ทุกฝ่ายมาเป็นสักขีพยานเจรจาหยุดยิงแลกเปลี่ยนตัวประกันสำเร็จในระดับหนึ่งเรื่องวิกฤตระหว่างอิสราเอลกับกาซ่า แต่ยังขาดรายละเอียดและเริ่มมีสัญญาณว่าความขัดแย้งในภูมิภาคจะยังยืดเยื้อต่อไป

เมื่อทรัมป์ประกาศว่าเขาเองคือผู้หยุดสงครามได้แล้วเจ็ดแห่ง รวมทั้งอาจจะมาเป็นประธานการตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชากับไทยที่มาเลเซีย แต่ทำไมโลกจึงยังดูร้อนรุ่มทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจ

ผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มหวั่นไหวกับเศรษฐกิจในครอบครัว เนื่องรับภาระปีนี้จะต้องรับภาระสองในสามของความเสียหายจากนโยบายภาษีอากรศุลกากร Trump Tariff จำนวนกว่า 1.2 ล้านล้านดอลล่าร์ ตามการประเมินของ S&P Global บริษัทข้อมูลทางการเงินและการวิเคราะห์ใหญ่ของโลก ซึ่งสรุปจากการวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายประมาณ 15,000 คนจาก 9,000 บริษัทที่ร่วมลงทุนใน S&P และดัชนีวิจัยต่างๆ

ค่าครองชีพที่สูงขึ้นในอเมริกา ประกอบกับการว่างงานที่ขยับขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ซ้ำเติมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางเป็นจำนวนหลายพันคนที่ถูกปลดจากงานเป็นการถาวร และอีกหลายแสนคนที่ยังทำงานอยู่แต่ยังไม่ได้รับเงินเดือน เนื่องจากรัฐสภากับทำเนียบขาวยังตกลงกันไม่ได้เรื่องงบประมาณประจำปี

ภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯได้เก็บมาแล้วกว่า 150,000 ล้านดอลล่าร์ อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงว่าต้องคืนให้กับผู้ชำระซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้า หากศาลฎีกาของสหรัฐฯตัดสินในวันฝที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 ว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจออกคำสั่งเรื่องนี้โดยการอ้างภาวะฉุกเฉิน ซึ่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯให้อำนาจการอนุมัตินโยบายภาษีทุกอย่างเป็นของรัฐสภา

ปัญหาภายในสหรัฐฯที่รุมเร้าอย่างเร่งด่วนมีอีกมากมายนับไม่ถ้วน เช่น การประท้วง ต่อต้านเผด็จการทั่วประเทศครั้งใหญ่ในวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม และเสียงค้านนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมเนื่องจากสินค้าส่งออกไม่ได้ เช่น กรณีของถั่วเหลืองซึ่งจีนปฏิเสธไม่ซื้อเช่นเดิม รวมทั้งการใช้นโยบายดุดันจับกุมและเนรเทศชาวต่างด้าว

ทรัมป์เปิดสงครามภาษีศุลกากรกับจีนอีกรอบหนึ่ง และครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าแข็งกร้าว จีนเข้มงวดเรื่องการส่งออกแร่หายาก อเมริกาตอบโต้โดยขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอีก 100% จากเดิม 30% เป็น 130% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 เป็นต้นไป ทรัมป์ประกาศว่าตนยังมีมาตรการอื่นที่จะลงโทษจีนหนักกว่านี้ เช่น จะคว่ำบาตรที่จีนซื้อน้ำมันจากรัสเซีย จะระงับการส่งมอบเครื่องบินโบอิ้ง และอื่นๆอีกหลายเรื่อง

จังหวะเวลาที่อาจเกิดวิกฤติซ้อนวิกฤตในระยะไม่กี่สัปดาห์นี้

17 ตุลาคม ประธานาธิบดีของยูเครนได้รับเชิญมาประชุมด่วนพิเศษที่ทำเนียบขาวซึ่งมีข่าวลือว่า สหรัฐฯอาจตัดสินใจกดดันรัสเซียอย่างรุนแรงที่สุดโดยการยินยอมส่งมอบขีปนาวุธ Tomahawk ซึ่งสามารถทำลายสูงและรัศมีกว่า 2,500 กิโลเมตร ให้กองทัพยูเครน ทำให้รัสเซียประท้วงอย่างรุนแรงและขู่ว่านั่นคือ ‘อเมริกาตัดสินใจเข้าสู่สงครามโดยตรงและอาจนำมาสู่สงครามนิวเคลียร์ได้’

26 ตุลาคม ผู้นำมาเลเซียทุ่มสุดตัวเชิญทรัมป์ให้มาร่วมประชุม ASEAN แต่อาจเจอปัญหาเนื่องจากทรัมป์มีเงื่อนไขว่าห้ามไม่ให้จีนมีส่วนร่วมในพิธีระหว่างไทยกับกัมพูชา ฉะนั้น หากทรัมป์มาจริง จะเกิดภาพลักษณ์ของผู้นำอาเซียน 10 คนห้อมล้อมผู้นำสหรัฐฯ และถูกมองว่าเอนเอียงไปกับมหาอำนาจด้านเดียว ปฏิกิริยาตอบโต้ของจีนอาจนำมาสู่สถานการณ์ที่ตึงเครียดและผลลบต่อภูมิภาค

28-29 ตุลาคม จะมีประชุม FED ซึ่งคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่ง

31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน ประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ ทรัมป์ขู่แล้วว่าอาจจะไม่ไปร่วมหากความขัดแย้งกับจีนไม่ลดลง ซึ่งขณะนี้ ท่าทางของจีนก็พร้อมที่จะชนและไม่ประนีประนอม เนื่องจากมั่นใจว่าถือไพ่ที่ไม่เสียเปรียบหรืออาจจะเหนือกว่าสหรัฐฯ และเห็นช่องโอกาสที่เศรษฐกิจอเมริกันกำลังเปราะบาง

รัฐบาลชั่วคราวของไทยกำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องเตรียมการรับมือกับทุกสถานการณ์ เพื่อผลประโยชน์ของชาติในระยะสั้นและระยะยาว ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงกระแสของประชาชนที่จะสะท้อนต่อผลการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นาน หากการประชุมอาเซียนเป็นไปตามปกติก็มีประเด็นหลายเรื่องที่จะต้องจัดการอยู่แล้ว แต่หากต้องมาตอบสนองกับความต้องการของประเทศเจ้าภาพคือมาเลเซียที่ต้องที่อยากได้เครดิตในการเชิญผู้นำสหรัฐฯมาได้สำเร็จ และอาจเป็นการมาโดยเงื่อนไขของมหาอำนาจตะวันตก ที่ทำให้กัมพูชาหรือไทยอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจว่าจะยอมอ่อนให้หรือประกาศจุดยืนของตน

ผู้นำกัมพูชาเจอวิกฤตสูงสุดในประวัติศาสตร์เผด็จการสี่ทศวรรษ การที่ สหรัฐฯดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามประเทศต่อ Prince Group และยึดทรัพย์อย่างมหาศาล พร้อมประกาศหลักฐานผูกโยงต่อรัฐบาลกัมพูชา สหราชอาณาจักรก็ออกมาขานรับด้วยการลงโทษคล้ายกัน จังหวะเดียวกับเกาหลีใต้หมดความอดกลั้น และปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนของตนโดยไม่เกรงใจกัมพูชาอีกต่อไป ต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะเป็นปัจจัยนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกัมพูชาได้

สันติภาพที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาและไม่เกินความสามารถของของชาวโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของชาวไทยและชาวกัมพูชาซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างความสุ่มเสี่ยงทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันมีแนวโน้มว่าทั้งสองประเทศใกล้จะได้เห็นทางออกที่ดีกว่าปัจจุบัน โดยการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของประเทศ จากการเลือกตั้งของไทย และการลุกฮือของชาวกัมพูชาออกมาเรียกร้องและต่อสู้เพื่ออนาคตของพวกเขา

สหรัฐอเมริกากับจีนจะเดินเกมการเมืองต่อไปอย่างไร สันติภาพหรือสงครามจะกระทบกับภูมิภาคหรือมาตุภูมิของเรามากเพียงใด เป็นสิ่งที่เราคาดหวังไม่ได้ แต่เราจะต้องปรับตัวให้ได้ ดั่งเช่นบรรพบุรุษของเราได้ทำไว้เป็นตัวอย่างครับ