“บ้าน&อุปกรณ์อัจฉริยะ” ลดเสี่ยง เพิ่มสุขผู้สูงวัย

เทคโนโลยีบ้านและอุปกรณ์อัจฉริยะกำลังถูกนำมาเชื่อมโยงกับธุรกิจประกันภัย เพื่อใช้ข้อมูลในการประเมินและป้องกันความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยยกระดับความคุ้มครองและคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย
KEY
POINTS
- เทคโนโลยี Smart Home และ Smart Devices ช่วยลดความเสี่ยงสำคัญของผู้สูงอายุ เช่น การหกล้ม (ด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับ), อัคคีภัย (จากการลืมปิดแก๊ส), และเหตุฉุกเฉินจากโรคประจำตัว
- อุปกรณ์อัจฉริยะช่วยเฝ้าระวังความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงผ่านระบบต่างๆ เช่น กล้อง AI-CCTV ที่สามารถตรวจจับการล้มและพฤติกรรมผิดปกติ, และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติไปยังผู้ดูแล
- อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) ทำหน้าที่ติดตามสุขภาพส่วนบุคคล เช่น วัดชีพจร, ตรวจจับการหกล้ม, เตือนกินยา และมีปุ่ม SOS สำหรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ทำให้ผู้สูงอายุและครอบครัวอุ่นใจ
- นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น ผ่านระบบควบคุมด้วยเสียง, ไฟอัตโนมัติในจุดเสี่ยง, และการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
- เทคโนโลยีบ้านและอุปกรณ์อัจฉริยะกำลังถูกนำมาเชื่อมโยงกับธุรกิจประกันภัย เพื่อใช้ข้อมูลในการประเมินและป้องกันความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยยกระดับความคุ้มครองและคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย
ประเทศไทยได้ก้าวสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” (Complete Aged Society) ตั้งแต่ปี 2566 โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด และกำลังมุ่งหน้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super-Aged Society) ซึ่งคาดว่าสัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสามในอนาคตอันใกล้ สถานการณ์นี้ทำให้เทคโนโลยีเพื่อดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะด้าน ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน กลายเป็นเรื่องจำเป็น นวัตกรรมอย่าง Smart Home และ Smart Devices จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
ความท้าทายด้านความปลอดภัยของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น
การหกล้ม: สาเหตุหลักของการบาดเจ็บรุนแรง เช่น กระดูกสะโพกหัก เลือดออกในสมอง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปที่มีโอกาสหกล้มสูงถึง 28–35% ปัญหาด้านความจำ: ภาวะสมองเสื่อมหรือหลงลืม อาจทำให้ลืมปิดแก๊ส ลืมปิดไฟ หรือหลงทาง เสี่ยงต่ออัคคีภัยและอุบัติเหตุ โรคประจำตัวเรื้อรัง: ความดันสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ที่ต้องการการเฝ้าระวังใกล้ชิดเพื่อลดเหตุฉุกเฉิน สภาพร่างกายเปราะบาง: การเคลื่อนไหวและการตอบสนองช้าลง ทำให้รับมือเหตุไม่คาดคิดได้ยาก ความโดดเดี่ยวทางสังคม: หากอยู่เพียงลำพังและเกิดเหตุฉุกเฉิน การไม่ได้รับความช่วยเหลือทันทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
Smart Home และ Smart Devices: ตัวช่วยสำคัญ
เทคโนโลยีสมาร์ทโฮมและอุปกรณ์อัจฉริยะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในหลายด้าน ได้แก่
ตรวจจับและป้องกันอุบัติเหตุ : เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม การเคลื่อนไหว อุณหภูมิ หรือแก๊สรั่ว พร้อมระบบไฟอัตโนมัติในจุดเสี่ยง
เฝ้าระวังความปลอดภัย : กล้อง AI-CCTV ที่สามารถแยกแยะคน สัตว์เลี้ยง หรือยานพาหนะ และตรวจจับการล้มแบบเรียลไทม์ รวมถึงวิเคราะห์พฤติกรรมผิดปกติ ใช้งานสะดวก: ระบบควบคุมด้วยเสียงหรือแอปพลิเคชัน และระบบจดจำใบหน้า ทำให้ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ดูแลสุขภาพ: Telemedicine ให้คำปรึกษาแพทย์จากที่บ้าน และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) เพื่อส่งค่าชีพจร ความดัน หรือการแจ้งเตือนถึงผู้ดูแล ความยั่งยืน: พลังงานสะอาด (Solar Roof) ช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้อุปกรณ์การแพทย์ในบ้านยังคงทำงานแม้ไฟฟ้าดับ
Smart/Wearable Devices เองก็เป็นอีกกลุ่มที่ขาดไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ประเภทสำคัญ:
ติดตามสุขภาพ: วัดชีพจร ความดัน ก้าวเดิน ตรวจจับการหกล้ม และเตือนการกินยา ส่งข้อมูลตรงถึงครอบครัวหรือผู้ดูแล เพื่อความ
ปลอดภัย: ปุ่ม SOS สำหรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน และระบบ GPS ติดตามตัว มอบความอุ่นใจแก่ครอบครัว
ตัวอย่างจากต่างประเทศ
หลายประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนหน้าได้พัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่อรองรับการเป็นสังคมผู้สูงอายุ เช่น
ญี่ปุ่น: พัฒนาสมาร์ทโฮมเต็มรูปแบบ ทั้งหุ่นยนต์ดูแล ระบบเตือนภัย และเซ็นเซอร์ในบ้าน สิงคโปร์: ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น ติดตั้งราวจับและพื้นกันลื่น พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์และปุ่มฉุกเฉิน
สหราชอาณาจักร: ผลักดัน technology-enabled care เช่น อุปกรณ์สวมใส่ SOS และเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้มในบ้าน
สหรัฐอเมริกา: เน้นแนวคิด aging in place ให้ผู้สูงอายุอยู่อาศัยในบ้านอย่างปลอดภัยให้นานที่สุด ด้วย AI-CCTV สมาร์ตปลั๊ก และระบบตรวจจับเหตุฉุกเฉินที่เชื่อมต่อศูนย์ช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
เกาหลีใต้: ทดลองใช้หุ่นยนต์ผู้ช่วยสำหรับพูดคุย เตือนกินยา และติดตามความปลอดภัย ควบคู่กับอุปกรณ์สวมใส่ที่ส่งสัญญาณถึงครอบครัวและเทศบาล
จีน: ขับเคลื่อน smart elderly care ระดับเมือง ใช้ IoT และแพลตฟอร์มดูแลที่บ้านเชื่อมโยงกับการให้บริการสุขภาพและเหตุฉุกเฉิน
สำหรับประเทศไทย ภาพรวมการใช้สมาร์ทโฮมกำลังขยายตัวต่อเนื่อง มีสาเหตุจากปัจจัยด้านความสะดวกและความคุ้มค่า เช่น อุปกรณ์ราคาเข้าถึงง่าย ใช้งานได้ง่าย รวมถึงกระแสความปลอดภัยในบ้าน พลังงานอัจฉริยะ และระบบนิเวศขอบเทคโนโลยี IoT ที่เติบโต ขณะที่ในกลุ่มผู้สูงอายุ เริ่มมีการใช้งานเพิ่มขึ้น เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม ระบบไฟอัตโนมัติ ปุ่มฉุกเฉิน/อุปกรณ์สวมใส่ ไปจนถึงการปรึกษาแพทย์จากที่บ้าน แม้จะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นแต่ก็มีทิศทางเติบโตตามการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ
ประกันภัยกับนวัตกรรม Smart Home และ Smart Devices
นวัตกรรมเหล่านี้ยังเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจประกันภัยด้วย เช่น
Ping An Life (จีน): ใช้อุปกรณ์ตรวจสุขภาพและเซ็นเซอร์ในบ้านเชื่อมกับกรมธรรม์ เพื่อติดตามสุขภาพผู้สูงอายุแบบเรียลไทม์ ให้ความคุ้มครองหกล้ม เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือหลงทาง Allstate (สหรัฐฯ): เสนอประกันบ้านที่ครอบคลุมอุปกรณ์ Smart Home พร้อมระบบเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมงและเชื่อมต่อหน่วยฉุกเฉินอัตโนมัติ John Hancock (สหรัฐฯ): Vitality Program ใช้ข้อมูลจาก wearables/แอปสุขภาพเพื่อให้ส่วนลดเบี้ยและรางวัล Aviva (สหราชอาณาจักร): ร่วมกับ LeakBot เสนออุปกรณ์ตรวจจับน้ำรั่วอัจฉริยะให้ลูกค้า เพื่อลดความเสียหายและความถี่ของการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
สำหรับในไทย การนำ Smart Home และ Wearable device มาใช้ในธุรกิจประกันภัยยังถือเป็นช่วงเริ่มต้นในการสนับสนุนการป้องกันความเสี่ยงสำหรับผู้สูงอายุ โดยฝั่งประกันวินาศภัยเริ่มขยายความคุ้มครองบ้านให้ครอบคลุมโซลาร์รูฟท็อป หัวชาร์จรถ EV ภายในบ้าน และอุปกรณ์ Smart Home ขณะที่ Wearable device ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ประกันทั้งชีวิตและวินาศภัย โดยทำหน้าที่ติดตามข้อมูลสุขภาพและพฤติกรรม เพื่อนำไปใช้ประเมินความเสี่ยง รวมถึงส่งเสริมการปรับพฤติกรรมเชิงป้องกัน ซึ่งโดยภาพรวมแม้การนำ Smart Home และ Wearable device มาใช้ในธุรกิจประกันภัยจะยังไม่ซับซ้อนเท่าในต่างประเทศ แต่ก็ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันภัยในอนาคต และนับเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ดีขึ้น







