สำรวจการลงทุนกลุ่ม Thematic ช่วงปลายปี 2025 : อุตสาหกรรมเหมือง..ยังคงน่าลงทุนหรือไม่?

ราคาทองคำในฐานะตัวนำของกลุ่มโลหะมีค่าอยู่บนแนวโน้มขาขึ้น ทั้งนี้หากมองในมุมกว้างราคาของสินค่าโภคภัณฑ์อื่นๆ อย่าง Precious Metals, Base Metals และ Battery Material มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน
KEY
POINTS
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำ โลหะมีค่า และแร่หายาก (Rare Earth) อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทเหมือง
- บริษัทในกลุ่มเหมืองมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญและมีแนวโน้มการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2025-2026 สะท้อนถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรม
- การลงทุนในอุตสาหกรรมเหมือง (Capex) ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2025 บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นและการขยายตัวของภาคธุรกิจ
- อุปสงค์จากอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI (Data Center) และ EV เป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการแร่โลหะที่สำคัญ ทำให้กลุ่มเหมืองเหล่านี้มีความน่าสนใจในระยะยาว
- แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่นักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกจากแนวโน้มผลประกอบการที่ดีในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย
นับตั้งแต่ปี 2023 จนถึงปัจจุบันการลงทุนใน “ทองคำ” สร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาสูงถึง +138% ในช่วง 3 ปี และปรับตัวบวก +54%YTD ณ วันที่ 9 ต.ค. 2025 ท่ามกลางความไม่แน่นอน-ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนการเพิ่มทองคำในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงการศึกษาของ Goldman Sachs Securities (GS) ในบทวิเคราะห์ “Precious Comment : Raising Our Gold Price Forecast on Sticky Inflows” ประเมินว่าในปี 2025-2026 ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 80 ตัน และ 70 ตัน ตามลำดับ
สำหรับการเพิ่มของทุนสำรอง ขณะเดียวกันมูลค่ารวมของ Gold ETFs ทั่วโลก ณ สิ้นงวดไตรมาสที่ 3 ปี 2025 ขยับขึ้นมาที่ 472 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ +23% QoQ ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้าน GS ปรับเป้าหมายราคาทองคำ Gold Spot ณ สิ้นปี 2026 สู่ระดับ $4,900/toz เทียบกับคาดการณ์เดิมที่ $4,300/toz
เรามองราคาทองคำในฐานะตัวนำของกลุ่มโลหะมีค่าอยู่บนแนวโน้มขาขึ้น ทั้งนี้หากมองในมุมกว้างราคาของสินค่าโภคภัณฑ์อื่นๆ อย่าง Precious Metals, Base Metals และ Battery Material มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน…ดังนี้
จากการรวบรวมข้อมูลข้างต้นจะพบว่าการปรับตัวขึ้นของราคากลุ่มโลหะมีค่า อย่างทองคำ, เงิน, แพลตตินั่ม และพาลาเดียม มีความโดดเด่นมากกว่ากลุ่ม Base Metal และสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มเทกอง (Bulk commodities) อย่างไรก็ตามกลุ่มแร่ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม EV อย่าง Rare Earth ซึ่งเป็นธาตุประกอบอย่าง นีโอไดเมียม (Neodymium - Nd) และ เพรซีโอไดเมียม (Praseodymium - Pr) เรียกรวมเป็น NdPr มีระดับราคาที่ปรับตัวขึ้นกว่า +41%YTD นับตั้งแต่ช่วงต้นปี บนแนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อบริษัทที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มเหมืองประเภทต่างๆ
เบื้องต้นจะขอยกตัวอย่างบริษัทจดทะเบียนกลุ่มเหมืองที่ชื่อ AngloGold Ashanti Plc ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ทองคำระดับโลกโดยมีกำลังการผลิตติดอันดับ Top 5 ของผู้ประกอบการเหมืองทองทั่วโลก (อ้างอิงข้อมูล ณ สิ้นปี 2024) บริษัท AngloGold Ashanti Plc มีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2024-2025E อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของ JPMorgan Securities “J.P. Morgan – “AngloGold Ashanti Plc: Q2’25 results – Dividend 2x consensus, EBITDA beat vs JPMe & cons, 2025/26 guidance reaffirmed, stay OW” ณ วันที่ 1 ส.ค. 2025 จะพบว่าในช่วง 2Q25 บริษัทรายงาน EBITDA ที่ 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ +180%YoY, +34%QoQ สูงกว่าที่ตลาดคาด สำหรับไตรมาสนี้มีการผลิตทองคำได้สูงถึง 804 Kilo Ounces +24%YoY, +12%QoQ ตามลำดับ ด้าน Guidance ของการผลิตทองคำปี 2025-2026 อยู่ที่ 2,900 – 3,225 Kilo Ounces ต่อเนื่องทั้งสองปี หากเทียบกับปี 2024 ซึ่งผลิตทองคำที่ 2,660 Kilo Ounces จะผลิตเพิ่มขึ้นราว +9% ถึง +21%YoY
สำหรับผู้ประกอบการ (บริษัทจดทะเบียน) ในอุตสาหกรรมเหมืองปี 2025 การลงทุนใหม่และการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อ้างอิงบทวิเคราะห์ของ GS “Global Mining M&A, the mining capex cycle, and 25-yr history of pure play base metals vs. diversified valuations” ณ วันที่ 8 ต.ค. 2025 มีใจความสำคัญโดยสรุปดังนี้
1. การลงทุนของกลุ่มเหมืองหรือ The Global Mining Capex (ไม่รวมเหมืองทองคำ) ปี 2025 เพิ่มขึ้นที่ $120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 2 เท่าเทียบกับจุดต่ำสุดในช่วงปี 2016-2017 และใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในปี 2013
2. การเพิ่มกำลังการผลิตในลักษณะ Organic Growth ของผู้ประกอบการเริ่มเผชิญกับความท้าทายและการมองหา Deal ใหม่เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตเริ่มยากสำหรับบริษัทขนาดใหญ่
3. GS มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจเหมืองกลุ่ม Precious Metals และกลุ่ม Rare Earth มากกว่ากลุ่ม Bulk commodities และถึงแม้จะไม่นับรวมเหมืองทองคำ (ซึ่งดีอยู่แล้ว) เหมืองกลุ่ม Copper, Aluminium, Zinc, Rare Earths, Lithium มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาวในช่วงเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี
สำหรับ Pine Wealth Solution เราคงมุมมองเชิงบวกต่อทั้งการลงทุนในทองคำและธุรกิจในกลุ่มเหมืองประเภทต่างๆ เพราะนอกจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและปัจจัยด้านภูมิศาสตร์โลกที่มีผลเชิงบวกต่อราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เรามองว่ากลุ่มเหมืองมีแนวโน้มที่จะสร้างผลประกอบได้ดีท่ามกลางทิศทางราคาของสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มดังกล่าวที่เป็นขาขึ้น ขณะเดียวกันจากการลงทุนในอุตสาหกรรม AI อย่างการสร้าง Data Center ตลอดจนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า-โครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับอุปสงค์ต่างๆ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเหมือง-Supply Chain ได้รับประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าวของภาคเอกชนทั่วโลก ดังนั้นถึงแม้ราคาหุ้นกลุ่มเหมืองในปัจจุบันจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีแต่จากทิศทางของผลประกอบการที่ดีในอนาคตจะนำไปสู่การปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ขึ้น







