ภาษีทรัมป์อาจไปไม่รอด แต่ป่วนการเมืองโลก

นโยบายภาษีของทรัมป์กำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางกฎหมาย หลังจากศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจ และต้องรอคำตัดสินสุดท้ายจากศาลฎีกาในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งหากแพ้คดีอาจต้องคืนเงินภาษีกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสร้างผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงไทยซึ่งต้องเตรียมแผนรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และกระทบต่อกระบวนการผลิตและการส่งออกที่ต้องวางแผนล่วงหน้า
KEY
POINTS
- นโยบายภาษีของทรัมป์กำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางกฎหมาย หลังจากศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจ และต้องรอคำตัดสินสุดท้ายจากศาลฎีกาในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งหากแพ้คดีอาจต้องคืนเงินภาษีกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์
- ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสร้างผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงไทยซึ่งต้องเตรียมแผนรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และกระทบต่อกระบวนการผลิตและการส่งออกที่ต้องวางแผนล่วงหน้า
- สหรัฐฯ ใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกดดันประเทศอื่น เช่น ขอให้สหภาพยุโรปเก็บภาษี 100% จากจีนและอินเดียเพื่อหวังผลต่อสงครามยูเครน ซึ่งการกระทำนี้กำลังทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และสร้างความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- การใช้นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ได้กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น จีนกับเม็กซิโก และผลักดันให้มหาอำนาจอย่างจีน รัสเซีย และอินเดีย หันมารวมกลุ่มกันเพื่อสร้างระเบียบโลกทางเลือก ตอบโต้นโยบาย 'อเมริกามาก่อน'
ภาษีทรัมป์กำลังสร้างความปวดหัวให้กับทั่วโลก ประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าไปสู่ตลาดที่สำคัญมากอย่างสหรัฐนั้นกำลังจับตาใกล้ชิดทุกฝีก้าวว่านโยบายภาษีศุลกากรครั้งประวัติศาสตร์ของทรัมป์ 2.0 จะลงเอยอย่างไร หลังจากศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐได้ตัดสินว่า ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจทางกฎหมาย เนื่องจากเรื่องภาษีทุกอย่างต้องได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา และสิ่งที่ทำนั้นเป็นโมฆะเป็นส่วนใหญ่
และคดีกำลังขึ้นสู่ความระทึกใจของการตัดสินในศาลฎีกาในเดือนพ.ย.
เงินรายได้จากภาษีศุลกากรที่รัฐบาลสหรัฐเก็บมาตั้งแต่เดือนพ.ค.นั้นโดยประมาณเดือนละ 37,000 ล้านดอลลาร์และประเมินว่าปัจจุบันรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเรื่องนี้ทำเนียบขาวประกาศเป็นชัยชนะที่ทำตามสัญญาระหว่างหาเสียงว่าจะเป็นรายได้ทดแทนการขาดดุลการค้าและลดภาระหนี้ของรัฐ แต่เรื่องจะยุ่งหากศาลฎีกายืนยันการตัดสินของศาลอุทธรณ์ซึ่งหมายถึงเงินภาษีเหล่านี้ต้องคืนให้กับผู้จ่ายนั่นเอง
แต่ละประเทศที่กำลังเจรจาอยู่ในปัจจุบันหรือที่ตกลงไปแล้ว เช่นทีมไทยแลนด์ที่ 19% และได้ตกลงแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์หลายอย่างต่อการนำเข้าของสินค้าสหรัฐมาประเทศไทยนั้นก็ต้องรีบปรับตัวและเตรียมแผนไว้รับมือไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร การผลิตและการส่งออกเป็นกระบวนการซับซ้อนที่ต้องวางแผนโดยละเอียดและกำลังได้รับผลกระทบจากความลังเลและยังไม่เข้าที่ของนโยบายนี้
ล่าสุดนโยบายภาษีกำลังถูกทำเนียบขาวนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งมีหลักฐานว่าเริ่มส่งผลลัพธ์ในทางลบต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐ และกำลังเห็นสัญญาณความสัมพันธ์กับหลายประเทศเข้าขั้นอันตรายและอาจเปลี่ยนสมการของภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ในระดับมหภาค
ขณะที่ บราซิลและอินเดียเจอภาษีทรัมป์ที่ 50% ซึ่งทั้งสองประเทศยังไม่มีท่าทีจะยอมอ่อนข้อให้โดยง่ายและกำลังพยายามเจรจาต่อไป มีการเปิดเรื่องวุ่นวายใหม่อีกรอบแล้ว โดยทรัมป์ขอให้สหภาพยุโรปเก็บภาษีศุลกากรจากจีนและอินเดียในอัตรา 100% ทั้งนี้เพื่อต้องการกดดันให้สองประเทศนี้กดดันรัสเซียอีกต่อหนึ่งเพื่อหวังหยุดสงครามในยูเครน และสหรัฐเองก็พร้อมที่จะเก็บภาษีต่อจีนและอินเดียในอัตรา 100% เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสหภาพยุโรปจะไม่ให้ความร่วมมือตามคำขอร้องแกมบังคับของทีมทรัมป์ แต่จะแบ่งรับแบ่งสู้ซื้อเวลาไปอีกจนรู้ผลการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐซึ่งเรื่องนี้คงเป็นนโยบายที่อินเดีย บราซิล จีน และประเทศอื่นๆ รวมทั้งไทยก็คงใช้เช่นกัน
นโยบายภาษีศุลกากรเป็นหัวใจที่ทรัมป์หาเสียงไว้และผูกพันนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ เข้ากับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นหากเจออุปสรรคโดยการตัดสินของศาลฎีกาก็จะหาทางดิ้นรนใช้วิธีอื่นอีก ซึ่งเรื่องนี้คนใกล้ชิดของทรัมป์ประกาศไว้แล้วว่าไม่มีทางที่จะประนีประนอมอย่างเด็ดขาด และยังมีวิธีอื่นเตรียมไว้อยู่
ที่น่าสนใจคือมีหลายบริษัทการเงินในสหรัฐโฆษณาขอซื้อสิทธิการรับเงินภาษีศุลกากรคืนจากรัฐบาล โดยยินดีจ่ายในขณะนี้ในอัตรา 30% ของยอดเต็ม ซึ่งอาจตีความหมายได้ว่านักลงทุนอาจจะมีข้อมูลภายในและมั่นใจว่าคุ้มค่าต่อการเสี่ยง และที่น่าสังเกตคือกลุ่มใหญ่ที่เสนอซื้อสิทธิเหล่านี้นำโดยผู้บริหารซึ่งเป็นบุตรชายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯนั่นเอง
การใช้กำแพงภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองของแต่ละประเทศนั้นปัจจุบันระบาดต่อไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือกลุ่มการค้าอื่นๆ ด้วย เช่นกรณีล่าสุดคือความขัดแย้งระหว่างจีนกับเม็กซิโก ซึ่งหลังจากเม็กซิโกกำลังเตรียมการเก็บภาษีศุลกากรรถยนต์นำเข้าจากจีนซึ่งปัจจุบันอยู่ในอัตรา 20% ขึ้นเป็น 50% ถูกรัฐบาลจีนออกมาเตือนอย่างรุนแรงว่าให้คิดรอบคอบเพราะจีนจะตอบโต้เม็กซิโกแน่นอนและจีนได้ลงทุนมาอย่างมหาศาลในเม็กซิโกแล้วในปัจจุบันกว่า$22,500 ล้านดอลลาร์ ส่วนเม็กซิโกก็รีบชี้ให้จีนพิจารณาจากการเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 60%โดยรัสเซียต่อการนำเข้ารถยนต์จากจีนซึ่งรัฐบาลจีนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
ผู้บริโภคชาวสหรัฐกำลังได้รับผลกระทบกระเทือนและจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเนื่องจากสินค้าในการชีวิตประจำวันส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าและมีหลักฐานที่ดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่อปีเร็วที่สุด
ข้อมูลเงินเฟ้อเป็นหัวใจสำคัญในการถกเถียงของธนาคารกลางหรือเฟด ซึ่งมีข่าวว่ากำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 17 ก.ย. ค.ศ. 2025 หลังจากที่ได้หยุดไปนาน และวงการเงินในอเมริกาคาดหวังว่าก่อนสิ้นปีค.ศ. 2025 อัตราดอกเบี้ยจะลดลงรวม 0.75% จากอัตราปัจจุบันที่ 4.25-4.5% ซึ่งหากเป็นจริงจะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นของสหรัฐเข้มแข็งต่อไปหรืออย่างน้อยก็มีภูมิต้านทานต่อวิกฤติซ้อนวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
เวลาที่เหลือในปีนี้จะเป็นการพบกันระหว่างผู้นำของประเทศมหาอำนาจในหลายวาระที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC)
ในต้นเดือนต.ค.ที่เกาหลีใต้ ซึ่งการพบกันนอกรอบระหว่างประธานาธิบดีของสหรัฐและจีนจะเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจสูงสุด
จับตาที่การเผชิญหน้าเรื่องภาษีอากรภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐกับจีนซึ่งยังตกลงกันไม่ได้และยังซับซ้อนกับการเจรจาเรื่องเซมิคอนดอกเตอร์ของสหรัฐกับแร่ธาตุหายากของจีน รวมทั้งการแข่งขันอย่างออกนอกหน้าเรื่องแสนยานุภาพและการเตรียมพร้อมทางทหารของทั้งสองคู่ปรับนี้
ภาพลักษณ์ของการพบกันโดยผู้นำจีน รัสเซียและอินเดียในการประชุม Shanghai Cooperation Organisation (SCO) ที่เมืองเทียนจิน เมื่อเร็วๆนี้สะท้อนถึงการปรับตัวด้วยความจำเป็นของแทบทุกประเทศเพื่อความอยู่รอดและอนาคตที่มั่นคงในยุคที่มหาอำนาจอันดับหนึ่งคือสหรัฐมีผู้บริหารที่เลือก ‘นโยบายอเมริกามาก่อน’ และสร้างกำแพงเป็นอุปสรรคต่อโลกาภิวัตน์ที่ตนเองได้เปรียบมาตลอดกว่าเจ็ดทศวรรษ
ระเบียบโลกทางเลือกจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือออกมาเป็นรูปแบบใด และไทยจะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยอีกหลายอย่างโดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาล และความตื่นตัวของชาวไทย ซึ่งขณะนี้การเมืองในไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อรอรัฐบาลใหม่เข้ามาทำหน้าที่เฉพาะกิจเป็นเวลาประมาณสี่เดือน เพื่อยุบสภา เพื่อให้อำนาจคืนกลับไปที่ประชาชน และมีการเลือกตั้งใหม่ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนเม.ย.หรือพ.ค.ในปีหน้า
ระหว่างนี้วิกฤติเฉพาะหน้าทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่เปราะบางและปัญหากับกัมพูชาเป็นสิ่งท้าทายที่ต้องให้ความสนใจด่วนที่สุด ซึ่งผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ฝากไว้กับความอดทนอดกลั้นรับฟังความเห็นของแต่ละฝ่ายและหาทางออกที่ดีที่สุดต่อส่วนรวมครับ







