ทองคำพุ่ง! จับตานโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯ

ทองคำได้รับแรงหนุนในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (inflation hedge) เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% แนวโน้มการลดดอกเบี้ยอาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งจะทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น และกระตุ้นแรงซื้อ
KEY
POINTS
- ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
- การคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ (ซึ่งไม่มีดอกเบี้ย) ลดลง จึงดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น
- ทองคำได้รับแรงหนุนในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (inflation hedge) เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2%
- แนวโน้มการลดดอกเบี้ยอาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งจะทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น และกระตุ้นแรงซื้อ
- ทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
- แรงซื้อจากกองทุน ETF และการเข้าสะสมทองคำของธนาคารกลางต่างๆ เป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ช่วยพยุงราคาทองคำ
- บทวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาทองคำในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 3,400 – 3,650 ดอลลาร์
การประชุม Economic Policy Symposium ที่เมือง Jackson Hole ในปีนี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นายเจอโรม พาวเวลล์ ใช้เวทีนี้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วสุดเดือนกันยายน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งด้านเงินเฟ้อ การจ้างงาน และแรงกดดันจากการเมือง ความเป็นอิสระของ Fed ถูกท้าทายจากทำเนียบขาวที่พยายามแทรกแซงการดำเนินงานของ Fed สร้างความกังวลต่อความเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ได้เน้นพันธกิจหลักคือ “การจ้างงานเต็มที่และเสถียรภาพราคา” เพื่อตอกย้ำบทบาทอิสระของธนาคารกลาง
เศรษฐกิจสหรัฐฯมีสัญญาณปะปน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่เหนือเป้าหมาย 2% และเริ่มกระจายไปยังสินค้ากับบริการหลากหลายมากขึ้น แต่ตลาดแรงงานเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว แม้อัตราว่างงานตามมาตรฐาน (U-3) ยังคงต่ำ แต่ตัวชี้วัด U-6 สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานจำนวนหนึ่งถูกใช้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามตัวเลขในระดับนี้ยังไม่ถึงขั้นกดดันเศรษฐกิจโดยตรง ขณะที่การบริโภคยังคงแข็งแรง แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอ่อนตัวลงจากความกังวลต่อเงินเฟ้อและทิศทางตลาดแรงงาน
ทำไมราคาทองถึงปรับตัวสูงขึ้น? ราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยหนึ่งในนั้นคืออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ที่มีแนวโน้มลดลง เมื่อ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) ปรับตัวลง ต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ของการถือครองทองคำซึ่งไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยแบบพันธบัตรก็ลดลง ทำให้นักลงทุนหันมาถือทองมากขึ้น อีกปัจจัยคือเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% ทำให้ทองคำถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ (inflation hedge) ควบคู่ไปกับบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความตึงเครียดทางการค้า หรือปัญหาการเมือง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังเป็นตัวกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติซื้อทองมากขึ้นเพราะมีราคาถูกลง ขณะที่แรงซื้อจากกองทุน ETF อย่าง SPDR Gold Shares และการสะสมทองคำของธนาคารกลาง ก็เป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ช่วยพยุงราคาทองให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ปรับกรอบราคาทองคำในระยะ 1 – 2 เดือนข้างหน้า คาดว่าแกว่งในกรอบ 3,400 – 3,650 ดอลล่าร์
มุมมองการลงทุนภายใต้ความไม่แน่นอนนโยบายการเงินสหรัฐฯ
ตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน ความเป็นไปได้ที่ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วง 4Q25 อาจหนุนหุ้นกลุ่ม Growth และ Tech โดยเฉพาะ AI, Semiconductor และ Cloud Infrastructure ที่ยังคงเป็น Mega Trend อย่างไรก็ตาม ตลาดพันธบัตรอาจเห็น Yield ปรับลดหากมีสัญญาณการผ่อนคลายที่ชัดเจน แต่ความเสี่ยงเงินเฟ้อจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ อาจทำให้การผ่อนคลายไม่ราบรื่น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์หากอ่อนค่าจากการลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด มีโอกาสที่เงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นอื่นนอกสหรัฐฯ (Ex-US)
ตลาดยุโรป แม้เศรษฐกิจยูโรโซนเริ่มฟื้นตัว แต่ความเสี่ยงทางการเมืองฝรั่งเศสยังเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น โดยเฉพาะการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของ Bayrou ที่ยังเป็นความเสี่ยงหลัก มองว่านักลงทุนจึงควรให้น้ำหนักไปที่ Defensive Sectors รวมถึงเลือกลงทุนในประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแรงกว่า เช่น เยอรมนีและสเปน เพื่อกระจายความเสี่ยง
ตลาดเอเชีย มีสองจุดโฟกัสหลักคือ จีนและญี่ปุ่น จีนได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์การปรับตัวของ supply chain และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้หุ้นกลุ่ม Semiconductor และ Digital Economy น่าสนใจในเชิง Selective Buy ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงโดดเด่นจาก GDP ที่ดีกว่าคาด และท่าที BOJ ที่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยรอบใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มหนุนให้เงินเยนแข็งค่า หุ้นกลุ่ม Domestic Demand เช่น ธนาคารและสินค้าเพื่อการบริโภคจึงน่าสนใจ แต่ควรระวังระดับราคาที่เริ่มตึงตัว
เวียดนาม ยังคงโดดเด่นในฐานะตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับประโยชน์จาก supply chain relocation โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการผลิต และความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มส่งออก ขณะเดียวกันรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการดึงดูด FDI และโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยหนุนการเติบโตระยะยาว อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระวังความผันผวนของค่าเงินด่อง
ไทย มีโอกาสได้รับแรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า หาก Fed ลดดอกเบี้ยและดอลลาร์อ่อนค่า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องระมัดระวัง ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความเป็นไปได้ของการจัดตั้งรัฐบาลยังคงเป็นตัวถ่วงหลัก ส่งผลให้ต่างชาติยังขายสุทธิในช่วงไม่นานมานี้
เหตุการณ์ Jackson Hole 2025 สะท้อนว่าแม้ Fed จะเปิดประตูสู่การลดดอกเบี้ย แต่แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังคงทำให้ทิศทางไม่แน่นอน นักลงทุนจึงควรวางพอร์ตด้วยกลยุทธ์สมดุล (Balance Strategy) คือการถือหุ้นเติบโตในกลุ่ม Tech ที่จะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายนโยบาย พร้อมกับ Defensive Assets อย่างทองคำ Utilities และ Healthcare เพื่อลดความผันผวน ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านค่าเงิน เพราะดอลลาร์สหรัฐฯ มีโอกาสอ่อนค่าหากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด ขณะเดียวกันการลงทุนแบบ Selective ในต่างประเทศยังมีโอกาส เช่น จีนกลุ่ม Semiconductor ญี่ปุ่นกลุ่ม Domestic Play และยุโรปที่เน้นเยอรมนีขณะที่ควรระวังฝรั่งเศสจากความเสี่ยงการเมือง สุดท้ายการถือเงินสดบางส่วนยังเป็นเกราะป้องกันและเปิดโอกาสเข้าซื้อเมื่อเกิดความผันผวน ทำให้พอร์ตมีสมดุลระหว่างโอกาสและการป้องกันความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม







