ยุคของการถ่ายโอนความมั่งคั่ง

ยุคของการถ่ายโอนความมั่งคั่ง

ในอีก 15 ปีข้างหน้า จะเกิดการถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่จากคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์สู่คนรุ่นถัดไป คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 83.5 ล้านล้านดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ในอีก 15 ปีข้างหน้า จะเกิดการถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่จากคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์สู่คนรุ่นถัดไป คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 83.5 ล้านล้านดอลลาร์
  • ผู้รับมรดกความมั่งคั่งกลุ่มใหญ่ที่สุดคือคนรุ่น Millennials (44%) และ Gen X (37%) ซึ่งมีทัศนคติและรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน
  • แนวโน้มการลงทุนจะเปลี่ยนไป โดยผู้รับมรดกรุ่นใหม่นิยมการลงทุนทางเลือก (Alternative Investments) และการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้แบบดั้งเดิม
  • ผู้หญิงจะกลายเป็นผู้รับมรดกในสัดส่วนที่สูงขึ้น (คาดว่าประมาณ 56%) ซึ่งอาจส่งผลให้การลงทุนที่เน้นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (ESG) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ณ สิ้นปีพ.ศ. 2567 ผู้มีความมั่งคั่งสูงในโลก (High New Worth Individuals: HNWIs) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป (ประมาณ 32.5 ล้านบาท) มีจำนวนประมาณ 23.4 ล้านคน หรือประมาณ 0.29% ของประชากรโลก มีความมั่งคั่งรวมกัน 90.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,950 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจาก World Wealth Report 2025 โดย Capgemini)

กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ หรือผู้เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง คือ ค.ศ. 1946 จนถึงประมาณปี ค.ศ.1964 (พ.ศ. 2489 ถึงพ.ศ. 2507) คือคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังจะส่งต่อความมั่งคั่งให้กับรุ่นต่อไป โดยพบว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้า ความมั่งคั่งจำนวน 83.5 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2,700 ล้านล้านบาท) หรือประมาณ 92% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงรุ่นปัจจุบัน จะถูกส่งถ่ายให้กับ กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งรุ่นต่อไป

ทั้งนี้ Cerulli Associates ได้ทำการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้รับมรดกความมั่งคั่งกลุ่มใหญ่ที่สุด มีอายุในปัจจุบันประมาณ 29-60 ปี โดยจะเป็นคนอายุ 29-44 ปี ที่เรียกว่า รุ่น Millennials (เกิดปี ค.ศ.1981-1996) สัดส่วน 44% และ อายุ 45-60 ปี ที่เรียกว่า Gen X (เกิดปี ค.ศ. 1965-1980) สัดส่วน 37% รองลงมาคือ รุ่น Gen Z (เกิดปี ค.ศ.1997-2010) 14% ส่วนทายาทที่เป็นรุ่นเบบี้บูมเมอร์ จะมีสัดส่วนรับสืบทอดความมั่งคั่ง 5%

ประมาณการณ์ว่า 30% ของความมั่งคั่งที่จะส่งมอบ หรือ ประมาณ 25 ล้านล้านดอลลาร์ จะถูกส่งมอบภายใน 5 ปีข้างหน้า (ภายในปี พ.ศ. 2573 หรือ ค.ศ. 2030) 63% หรือประมาณ 52.6 ล้านล้านดอลลาร์ จะถูกส่งมอบภายในปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) และ 84% หรือประมาณ 66.8 ล้านล้านดอลลาร์ จะถูกส่งมอบภายในปี พ.ศ.2583 (ค.ศ. 2040)

ความท้าทายเกิดขึ้นสำหรับบริษัทที่ช่วยบริหารจัดการความมั่งคั่ง เพราะเป็นที่ทราบกันว่า คนในแต่ละยุค มีทัศนคติ ความชอบ และการมองโลกแตกต่างกัน ดิฉันไม่มีข้อมูลของผู้มีความมั่งคั่งสูง (High New Worth Individuals: HNWIs) ทั้งหมดว่า มั่งคั่งจากอะไร แต่มีข้อมูลของผู้มีความมั่งคั่งสูงพิเศษ หรือ อภิมหาเศรษฐี (Ultra-High Net Worth Individual : UHNWI) ในปัจจุบัน ที่มีความมั่งคั่งเกินกว่า 30 ล้านเหรียญ หรือ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งประมาณการโดย Wealth X เมื่อปี ค.ศ. 2023 ว่าเป็นกลุ่ม self-made คือสร้างความมั่งคั่งมากับมือตัวเองถึง 85% ในขณะที่กลุ่มรับมรดกสืบทอด รวมกับกลุ่มรับมรดกด้วยสร้างเองด้วย มีอยู่ประมาณ 15%

ผู้ที่สร้างความมั่งคั่งมาด้วยตนเอง มักจะมีมุมมองในการกล้าทำสิ่งที่ท้าทาย แต่ด้วยวัยที่สูงขึ้น ก็อาจจะไม่ชอบความเสี่ยง (ความผันผวนจากการลงทุน) มากนัก

การสำรวจของ Capgemini ล่าสุด พบว่า 88% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงรุ่นใหม่ (ที่จะรับมรดก) ชอบการลงทุนทางเลือกมากกว่ารุ่นเก่า และผู้ดูแลคนกลุ่มนี้ ก็เห็นพ้องต้องกันว่า การมีข้อมูลที่สามารถแสดงให้ลูกค้าสามารถติดตามสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนได้ทันทีผ่านช่องทางดิจิทัลด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่สำคัญ ในขณะที่เบบี้บูมเมอร์แบบดิฉัน จะรู้สึกว่า กว่าจะลงทุนซื้อหรือขายได้ ทำไมต้องให้เราทำอะไรเองมากมายถึงเพียงนี้ และบางครั้งก็ทำผิดทำถูก เสียเวลาทำอย่างอื่นไปมากมาย

พอร์ตการลงทุนของผู้มีความมั่งคั่งสูงที่ Capgemini สำรวจเมื่อต้นปี 2568 พบว่า ผู้ลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย คือเงินสด หรือเทียบเท่าเงินสด ในสัดส่วนค่อนข้างสูง ลงทุนในการลงทุนทางเลือกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทุนลง เมื่อเทียบกับ ก่อนเกิดวิกฤติในปี 2008 คือ ลงทุนในเงินสดและเทียบเท่าเงินสด 26% (ปี 2006 ลงในเงินสดหรือเทียบเท่า 14% ลงทุนทางเลือก 10%) ในขณะที่ลงทุนในตราสารหนี้ 18% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 19% ลงทุนในหุ้นทุน 22% (ปี 2006 ลงทุน 31%) และลงทุนในการลงทุนทางเลือก 15% (ปี 2006 ลงทุนเพียง 10%)

แม้ว่าในระหว่าง 15 ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นและลดลง ตามสภาวะเศรษฐกิจ และตลาด แต่เห็นได้ชัดว่า ผู้มีความมั่งคั่งสูง คงระดับเงินสดและเทียบเท่าเงินสดในระดับ 25% ขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูง เมื่อเทียบกับก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008

ความสนใจในการลงทุนทางเลือก ซึ่งรวมถึง กองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ การลงทุนในหุ้นนอกตลาด หรือ Private Equity การลงทุนในสิ่งที่ชอบ (Passion Investment) เพิ่มขึ้น ในขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์แบบเดิม คือหุ้นทุนและตราสารหนี้ (Equity and Fixed Income) ได้ลดลงจาก 55% ในปี 2006 เหลือเพียง 40% ในต้นปี 2025

สิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณให้เห็นว่า ผู้ลงทุนรุ่นเบบี้บูม ลงทุนแบบอนุรักษนิยมมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ผู้สืบทอดความมั่งคั่งอาจมีส่วนในการให้ความเห็นชอบการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆมากขึ้น และสนใจการลงทุนในต่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศและทวีปของตนเองเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าแนวโน้มนี้น่าจะคงอยู่ต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ ผู้สืบทอดเพศหญิง ยังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดย Cerulli คาดว่า ผู้หญิงจะรับสืบทอดความมั่งคั่งประมาณ 56%ของความมั่งคั่งที่จะส่งต่อทั้งหมด แน่นอนว่า ผู้หญิงมีแนวคิดและสไตล์การลงทุนไม่เหมือนผู้ชายทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แนวทางการลงทุนของผู้มีความมั่งคั่งสูงจึงอาจเปลี่ยนไปบ้าง และเชื่อว่าการลงทุนเพื่อดูแลโลกตามแนวทาง ESG และการลงทุนเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อประโยชน์ทางสังคม น่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป เพราะกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง 23.4 ล้านคนนี้ มีอิทธิพลในการลงทุน ในการจับจ่ายใช้สอย และในการชี้นำและลดความเหลื่อมล้ำของประชากรในโลกได้