ไทยต้องระวังการสวมสิทธิ์ แม้สหรัฐ-จีนสงบศึกภาษี 90 วัน

วิวัฒนาการของประเทศต่างๆรวมทั้งไทยเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI)เข้ามาตรวจสอบการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การตรวจสอบเส้นทางการเดินเรือแบบเรียลไทม์และตรวจเช็คข้อมูลเรื่องภาษีการส่งออกศุลกากรเพื่อไม่ให้รั่วไหล
KEY
POINTS
- สหรัฐฯ และจีนตกลงสงบศึกภาษีชั่วคราว 90 วัน แต่จีนยังคงถูกเก็บภาษีในอัตรา 30% ซึ่งสูงกว่าไทยที่ 19% ทำให้เกิดแรงจูงใจให้ผู้ส่งออกจีนพยายามสวมสิทธิ์สินค้าเป็น "Made in Thailand" เพื่อเลี่ยงภาษี
- สหรัฐฯ ขู่ว่าจะเก็บภาษี "Transshipment" เพิ่มอีก 40% เป็นการลงโทษประเทศที่ไม่สามารถควบคุมการสวมสิทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้สินค้าไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 59%
- บทลงโทษจากการสวมสิทธิ์อาจขยายผลไปถึงการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย "ทุกประเภท" ในอัตรา 59% ซึ่งจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อ
การที่ไทยได้อัตราภาษีทรัมป์มาที่ 19% เทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งผลิตสินค้าคล้ายกัน จึงทำให้มีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง แต่จีนนั้นยังถูกเก็บภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯที่ 30% แลกเปลี่ยนกับการที่ จีนเก็บจากสหรัฐฯ 10%% หลังจากที่ทรัมป์ลงนามในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ยืดเวลาออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 ทั้งนี้มาจากเหตุจูงใจสำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายเกรงว่าในช่วงเทศกาลฤดูหนาว ที่อัตราการบริโภคสูงขึ้นเป็นพิเศษในรอบปีนั้น สินค้าในอเมริกาจะขาดตลาดและราคาแพงขึ้น ขณะเดียวกันผู้ผลิตและส่งออกในจีนยังพึ่งพาตลาดอเมริกาเพื่อความอยู่รอด
การประกาศสงบศึกชั่วคราวครั้งนี้ช่วยให้หลีกเลี่ยงการเก็บภาษีในอัตรา 145% ที่อเมริกาได้ขู่ไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน และจีนตอบโต้ที่ 125% ซึ่งหากสองประเทศไม่ลดอุณหภูมิความขัดแย้งลง และดื้อดึงต่อสู้กันในอัตรานั้นจริง ก็สรุปได้เลยว่าคงเป็นเหมือนปิดประตูการค้าระหว่างสองประเทศนั่นเอง
ผู้นำของสหรัฐฯและจีนประกาศจะรีบเจรจากันก่อนที่จะพังยับไปทั้งคู่ ซึ่งขณะนี้มีแผนเตรียมพบกันในเอเชีย คาดว่าจะเป็นที่มาเลเซีย (ASEAN) และเกาหลีใต้ (APEC) ในปลายเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน
ในระหว่างนี้ท่ามกลางปัญหารุมเร้าในระดับมหภาคของภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความพยายามใช้อุบายกลอุบายส่งสินค้าที่ผลิตในจีน (Made in China) เพื่อไปขายในสหรัฐอเมริกาโดยแอบอ้างว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่น เช่น Made in Thailand เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อหวังหลบเลี่ยงการจ่ายในอัตรา 30% เป็นอัตรา 19% นั่นเอง
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งใหม่แต่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงมากคือ คำขู่ของสหรัฐฯว่าจะเก็บภาษี Transshipment เป็นการลงโทษ 40% หากประเทศใดไม่ควบคุมการแอบสวมสิทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
ยกตัวอย่างเช่นหากสินค้าใดจากจีนถูกนำมาแอบสวมสิทธิ์ว่าผลิตในไทย จะถูกลงโทษโดยเก็บภาษีในอัตรา 19 + 40 = 59% และอาจนำมาสู่การลงโทษสินค้านำเข้าจากไทยทุกประเภทในอัตรา 59% ซึ่งก็จะนำมาสู่ความหายนะของการส่งออก
ประเด็นการป้องกันการการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าเป็นสิ่งที่ผู้นำรัฐบาลและเอกชนของไทยให้ความสำคัญมากในปัจจุบันอยู่แล้ว แต่โอกาสที่จะผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ทั้งจากความบกพร่อง ประมาทหรือคอรัปชั่น ทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกันดูแลด้วยความถี่ถ้วนเข้มงวดเป็นที่สุด โดยเฉพาะหน่วยงานที่รับผิดชอบการออกใบประกาศนียบัตรแหล่งผลิต (Certificate of Origin หรือ C/O)
ความซับซ้อนอาจเกิดขึ้นบ้างในกรณีที่ชิ้นส่วนสินค้าหลายอย่างอาจถูกส่งมาจากจีนเพื่อนำมาประกอบในไทยเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่น รวมทั้งสหรัฐอเมริกาซึ่งต้องมีความชัดเจนเรื่องประเด็นสัดส่วนของ Regional Value Content (RVC) ว่ามีอะไรบ้าง โดยระบุรายละเอียดและมีความโปร่งใสทุกสินค้า โดยรายงานให้ชัดเจนต่อฝ่ายตรวจสอบของสหรัฐฯซึ่งได้ประกาศแล้วกันว่ามีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นมาเพื่อสืบสวนและตรวจสอบการคดโกงในเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ผู้นำภาครัฐและเอกชนของไทยจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเรื่องนี้พลาดไม่ได้ จับตามองโฆษณาที่เรียกว่า “การฟอกต้นทาง” “origin washing” ได้แพร่กระจายไปทั่วแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน เสนอวิธีให้ผู้ส่งออกหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่พุ่งสูงของสหรัฐฯ ด้วยการส่งออกซ้ำ (re-export) หรือเปลี่ยนฉลากสถานที่ผลิต โฆษณาวิดีโอที่โพสต์บน Xiaohongshu หรือ RedNote และ Douyin ซึ่งเป็น TikTok ภาษาจีน เสนอ “บริการส่งออกซ้ำและการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร” ผ่านประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนามและไทย
ขณะนี้มีกลุ่มทุจริตซึ่งแฝงอยู่ในตัวแทนขนส่งสินค้า (freight forwarders) หรือนายหน้าศุลกากร (customs brokers) ได้กลายมาเป็นผู้ให้บริการหลักในการจัดการเอกสารศุลกากร พิธีการศุลกากร และใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า โดยค่าบริการมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ตัวแทนขนส่งสินค้าบางรายถึงกับช่วยเหลือผู้ส่งออกในการเปลี่ยนหรือโหลดตู้คอนเทนเนอร์ใหม่เพื่อปกปิดแหล่งกำเนิดสินค้า
บริษัทโฆษณารายหนึ่งในจีนได้อ้างว่าสามารถจะตบตาทางการของสหรัฐฯได้ถึง 80% แล้ว และวิธีการของพวกเขานั้นแยบยลจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่นอนโดยอ้างว่าสามารถทำ “โซลูชันแบบครบวงจร”(one-stop solution) ที่ครอบคลุมบริการห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ซึ่งรวมถึง การสำแดงสินค้าศุลกากรภายในประเทศ การจองเรือ การดำเนินงานท่าเรือขนส่ง การจองเรือระดับที่สอง (second-level ship booking) และพิธีการศุลกากร และการจัดส่งของ (U.S. customs clearance and delivery)
ย้ำว่าการค้าขายส่งออกซ้ำ (re-export trade) ซึ่งเป็นกระบวนการส่งออกสินค้าเดิมโดยไม่ผ่านการใช้งานหรือดัดแปลงใดๆ เป็นการเจตนาละเมิดกฏหมายและจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน กฎหมายของสหรัฐฯระบุว่า
“การฉ้อโกงภาษีศุลกากรมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี ปรับ 300% ของจำนวนภาษีที่หลีกเลี่ยง และการติดตามผลกำไร 10 ปี”
ส่วนสินค้าหลายประเภทที่นำชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบในไทยนั้น กฎหมายสหรัฐฯกำหนดให้สินค้านำเข้าต้องผ่าน “การเปลี่ยนแปลงใหญ่” “substantial transformation” ก่อน จึงจะสามารถอ้างสิทธิ์ในประเทศต้นทางใหม่ได้อย่างถูกกฎหมาย
กระบวนการที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น ปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดสารประกอบใหม่
หรือ การประกอบที่ซับซ้อนซึ่งรวมส่วนประกอบจำนวนมากเข้าด้วยกันเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ซับซ้อน หรือ กระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความรู้และอุปกรณ์เฉพาะทาง หรือเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนกระบวนการที่ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การประกอบแบบง่าย หรือ
การตกแต่ง การบรรจุ หรือการติดฉลากเพียงอย่างเดียว หรือ
การเจือจางหรือการผสมที่ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะสำคัญ
อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของประเทศต่างๆรวมทั้งไทยเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI)เข้ามาตรวจสอบการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การตรวจสอบเส้นทางการเดินเรือแบบเรียลไทม์และตรวจเช็คข้อมูลเรื่องภาษีการส่งออกศุลกากรเพื่อไม่ให้รั่วไหล
ผู้ประกอบการหลายบริษัทในไทยซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบริษัทในจีนต้องปรับตัวในเรื่องนี้ให้ทัน นโยบาย China+1 ซึ่งเพิ่มฐานการผลิตนอกจีนรวมทั้งในไทยเพื่อเป็นการส่งออกไปสหรัฐฯนั้น ในยุคนี้อาจจะเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่าอีกต่อไปและหากพลาดพลั้งอาจนำมาสู่ความเสียหายทั้งประเทศด้วยครับ







