ห่างไกล NCDs ด้วยเทคโนโลยีสุขภาพ เสริมแกร่งการเงินด้วย "ประกันโรคร้ายแรง" ที่เหมาะกับคุณ

การเลือกประกันโรคร้ายแรง หรือประกันสุขภาพอย่างใดอย่างหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และแผนการเงินที่ได้วางไว้ อย่างไรก็ตาม การมีทั้งประกันโรคร้ายแรงและประกันสุขภาพควบคู่กันไปด้วย เป็นสิ่งที่ดีและช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
สถานการณ์ของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) มีแนวโน้มการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ยังเพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานอีกด้วย ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างมากทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากโรค NCDs ควบคู่กับการมี “ประกันโรคร้ายแรง” จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนกับการมีเกราะป้องกันภัยทั้งทางด้านสุขภาพและการเงินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เราสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการป้องกันหรือดูแลสุขภาพจากโรค NCDs ได้มากมาย เช่น
· อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable Devices) เช่น นาฬิกา/แหวนอัจฉริยะ สายรัดข้อมือ ที่คาดศีรษะ ฯลฯ นอกจากจะสวมใส่เพื่อความสวยงาม ติดตามความเคลื่อนไหว และยังมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ช่วยติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ วัดระดับออกซิเจนในเลือด จำนวนก้าวที่เดินในแต่ละวัน คุณภาพการนอน ความเครียด รวมถึงแจ้งเตือนอาการผิดปกติล่วงหน้า เพื่อให้รีบไปพบแพทย์ก่อนเกิดอันตรายได้ เป็นต้น ซึ่งการสวมใส่เป็นประจำจะทำให้สามารถรู้พฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวันและนำข้อมูลมาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจประกันสุขภาพบางรายยังมีการให้ส่วนลดเบี้ย สิทธิพิเศษต่าง ๆ สำหรับลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ที่ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพได้ตามที่กำหนด
· แอปพลิเคชัน หรือ ระบบ AI ดูแลสุขภาพ ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มให้เลือกใช้งานมากมายทั้งแบบฟรีหรือมีค่าใช้จ่าย โดยแพลตฟอร์มหนึ่งที่น่าสนใจและอยากแนะนำคือ “กินดี” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานฟรีและเข้าถึงง่ายผ่าน Line OA “หมอพร้อม” ของกระทรวงสาธารณสุข ผู้ใช้งานสามารถบันทึกรายการอาหารแต่ละมื้อ หลังจากนั้นระบบ AI ก็จะทำการประมวลผลทั้งปริมาณแคลอรี่ สารอาหารที่ได้รับและให้คำแนะนำเพื่อสุขภาพ รวมถึงบันทึกประวัติการกินเป็นรายสัปดาห์ รายเดือนได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เหมาะสมเพื่อเป้าหมายที่ต้องการได้
· เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาล (Continuous Glucose Monitoring: CGM) เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับทั้งผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่ต้องการปรับนิสัยการกินอาหารและป้องกันการเป็นเบาหวาน โดยสามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ด้วยเซ็นเซอร์ที่ติดบริเวณแขนหรือหน้าท้อง ซึ่งแสดงผลผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือหรือเว็บไซต์ การใช้เครื่องมือนี้มีข้อดีคือ สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป เพื่อเตรียมรับมือได้ทันท่วงที ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และช่วยให้ผู้ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดรู้ว่า อาหารหรือกิจกรรมใดที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด อย่างไรก็ตาม ต้องทำการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ทุก 7-14 วัน ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าแบบเข็มเจาะเลือดปลายนิ้วทั่วไป
· ปากกาลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน โดยอุปกรณ์มีลักษณะคล้ายปากกา พร้อมเข็มสำหรับฉีดที่ท้อง หรือต้นแขน/ต้นขา ซึ่งได้รับรองโดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาว่ามีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักได้ มีกลไกการออกฤกธิ์ของยาที่ทำให้รู้สึกหิวน้อยลง ลดความอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม ควรใช้ปากกาลดน้ำหนักควบคู่กับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้เกิดผลดีระยะยาว และควรใช้ตามความจำเป็นภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้
เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการติดตามให้ก้าวทันเทคโนโลยีก็จะทำให้เราสามารถนำมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
สำหรับ “ประกันโรคร้ายแรง” เป็นแผนประกันที่มุ่งเน้นให้ความคุ้มครองทางการเงิน ซึ่งโดยทั่วไปจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนในรูปแบบของ “เงินก้อน” ให้กับผู้เอาประกันภัยเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคร้ายแรง” ตามชื่อโรคหรือระยะของโรคที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยมักจะคุ้มครองครอบคลุมโรค NCDs หรือการเจ็บป่วยที่มีภาวะรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายหรือค่ารักษาพยาบาลสูง เช่น
· โรคมะเร็ง (ระยะลุกลามหรือทุกระยะ)
· โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายครั้งแรกจากการขาดเลือด
· โรคหลอดเลือดสมอง
· โรคไตวายเรื้อรัง
· โรคปอดระยะสุดท้าย
· ตับวาย
· ภาวะหมดสติ/ภาวะโคม่า
· โรคหรือภาวะสมองเสื่อม
· ภาวะอัมพาต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง
ปัจจุบันประกันภัยโรคร้ายแรงมีทั้งแบบให้ความคุ้มครองเฉพาะโรคอย่าง “ประกันโรคมะเร็ง” และแบบที่ให้ความคุ้มครองแบบหลาย ๆ โรคร้ายแรงในฉบับเดียว ซึ่งการซื้อความคุ้มครองดังกล่าวสามารถมาในรูปแบบของสัญญาเพิ่มเติมทำพร้อมสัญญาประกันชีวิต หรือ กรมธรรม์ประกันภัยโรคร้ายแรง (Standalone Critical Illness Policy) ของบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งแต่ละแบบจะมีการกำหนดเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป การเลือกทำประกันโรคร้ายแรงจึงอาจพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น
· จำนวนโรค และรายชื่อโรคที่คุ้มครอง
· วงเงินความคุ้มครอง และเบี้ยฯ ซึ่งมีทั้งแบบคงที่ตลอดสัญญาหรือปรับเพิ่มขึ้นตามอายุ ควรพิจารณาให้เหมาะสมตามความสามารถในการชำระเบี้ยตลอดสัญญา
· ระยะเวลาหรืออายุสูงสุดที่คุ้มครอง
· รูปแบบการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เช่น จ่ายทันทีเมื่อตรวจพบทุกระยะ หรือ จ่ายเฉพาะระยะรุนแรง เป็นต้น
· ความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ควรศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไขความคุ้มครองอย่างถี่ถ้วนทั้งก่อนและหลังทำประกัน รวมถึงข้อยกเว้นที่สำคัญ เช่น การไม่คุ้มครองโรค/การเจ็บป่วยที่เป็นมาก่อนการทำประกันภัย ระยะเวลารอคอยโดยทั่วไปคือ 90 วันนับจากวันที่กรมธรรม์เริ่มมีผลบังคับ เป็นต้น
ประกันโรคร้ายแรงนั้นมีความแตกต่างกับประกันสุขภาพทั่วไป เพราะประกันโรคร้ายแรงชดเชยค่าสินไหมเป็นเงินก้อนเมื่อตรวจพบ ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการนำไปบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้มากกกว่า เช่น ค่ารักษา ค่าใช้จ่ายระหว่างการรักษาหรือพักฟื้น ค่าเดินทาง ค่าเลี้ยงดูครอบครัวขณะขาดรายได้ เป็นต้น ขณะที่ประกันสุขภาพโดยปกติจ่ายชดเชยค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริงตามวงเงินสำหรับหมวดความคุ้มครองต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ เช่น ค่าห้อง ค่าบริการโรงพยาบาล ค่ารักษาทั่วไป ค่าผ่าตัด ค่าหมอ เป็นต้น
ดังนั้น การเลือกประกันโรคร้ายแรง หรือประกันสุขภาพอย่างใดอย่างหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และแผนการเงินที่ได้วางไว้ อย่างไรก็ตาม การมีทั้งประกันโรคร้ายแรงและประกันสุขภาพควบคู่กันไปด้วย เป็นสิ่งที่ดีและช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น







