ภาษีทรัมป์ ซ้ำศึกกับกัมพูชา : ผลกระทบต่อรัฐบาลและเศรษฐกิจไทย

10 ข้อหลักที่ไทยเสนอเป็นการแลกเปลี่ยนภาษีกับสหรัฐได้ที่ 19% หนึ่งในนั้นคือ ยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯประมาณ 90% ของรายการเป็น 0% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯกว่า 10,000 รายการจากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นของที่ไทยไม่ได้ผลิตเอง หรือผลิตไม่พอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง และอาหารเฉพาะทาง
KEY
POINTS
- รัฐบาลไทยเจรจาสำเร็จได้อัตราภาษีจากสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งช่วยให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและการล่มสลายของรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นหากถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% (อาจสูญเสียการส่งออก 1.64 แสนล้านบาท)
- การเจรจาเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา ซึ่งสหรัฐฯ เข้ามาใช้เป็นเงื่อนไขกดดันทั้งสองประเทศ
- การที่ไทยและกัมพูชาได้อัตราภาษี 19% เท่ากัน ช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาลไทย และถือเป็นการต่ออายุให้รัฐบาลไปได้อีกระยะหนึ่ง
- แม้ภาษี 19% จะสูงกว่าอัตราเดิมที่ 10% และกระทบต่อผู้ส่งออก แต่ก็ทำให้ไทยยังสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เสียเปรียบมากนัก
- ข้อแลกเปลี่ยนสำคัญที่ไทยเสนอให้สหรัฐฯ คือการยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขหยุดยิงกับกัมพูชาตามคำขอร้องแกมบังคับของสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อมโยงนโยบายภาษีเข้ากับความขัดแย้งโดยตรง
- บทความทิ้งท้ายด้วยความกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต และอาจอยู่ไม่ข้ามปี แม้จะปิดดีลภาษีได้สำเร็จก็ตาม
31 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 รัฐบาลไทยปลื้มใจที่ปิดดีลกับสหรัฐฯได้ที่ 19% หลังจากกังวลว่าหากถูกเก็บภาษีที่ถูกขู่ไว้ในอัตรา 36% จะทำให้เศรษฐกิจพังและรัฐบาลคงไปไม่รอด (กรณีภาษี 36% ไทยจ่อสูญส่งออก 1.64 แสนล้านบาท หรือ 0.88% ของ GDP)
โดยเฉพาะอยู่ในภาวะวิกฤติทำศึกชายแดนกับกัมพูชาที่มีอเมริกาเข้ามากดดัน จึงทำให้ทุกสายตาจ้องที่อัตราของกัมพูชาว่า หากได้อัตราที่ดีกว่าไทยก็จะนำไปสู่ข่าวลือว่าระยะนี้สหรัฐอเมริกาแสดงความเสน่หาเป็นกรณีพิเศษต่อกัมพูชาหรือไม่
เมื่อผลออกมา 19% เท่ากันทั้งไทยและกัมพูชาก็นับว่าโล่งอกไป รัฐบาลไทยก็คงได้โอกาสต่ออายุไประยะหนึ่ง ขณะเดียวกันผู้นำกัมพูชาก็คงรอดตัวไป
ผู้ส่งออกและห่วงโซ่อุปทานของไทยทั้งหลายก็คงสู้ต่อไป แม้อัตราชั่วคราวในปัจจุบันที่ 10% จะสูงขึ้นอย่างน่าตกใจที่ 19% แต่ก็ต้องทำใจและปลอบใจกันว่าดีกว่าดีแล้วที่รอดจาก 36%
สรุปคือตัวละครในอาเซียนส่วนใหญ่ต้องเผชิญสิ่งท้าทายคล้ายกันและมีโอกาสแข่งขันภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ต่างกันมาก ซึ่งคงมาจากการคำนวนของสหรัฐไม่ให้มีใครได้เปรียบเสียเปรียบมากเกินไป
อัตราภาษีของไทยที่ 19% เท่ากับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งโดยตรงต่อสินค้าประเภทคล้ายกัน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น ส่วนเวียดนามที่ 20% นั้นก็ใกล้เคียงมาก
แม้หลายประเทศรวมทั้งทีมไทยแลนด์แอบหวังว่าจะได้ในอัตรา 10% เท่ากับอังกฤษและสิงคโปร์ หรือ 15% เท่ากับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประชาคมยุโรป แต่ก็คงต้องพยายามเจรจาต่อไป “จนกว่าจะมีเงื่อนไขบางอย่างเปลี่ยนแปลงทำให้อเมริกาเปลี่ยนนโยบายในที่สุด”
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าอัตราภาษีที่ประกาศครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
และคาดว่าจะมีการเจรจาต่อรองเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้งหลายรอบทั้งภาครัฐและเอกชนก็ออกมาประกาศว่าไม่มีใครเข้าใจรายละเอียดและจะต้องรอดูคำประกาศเป็นทางการก่อนซึ่งไม่รู้จะออกมาวันไหน และที่น่าสังเกตคือยังมีประเทศยักษ์ใหญ่ที่ตกลงกับอเมริกาไม่ได้ เช่น จีน อินเดีย แคนาดาและเม็กซิโก เป็นต้น
ผู้บริโภคชาวอเมริกันอาจเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดต่อนโยบายภาษีศุลกากรนี้ เมื่อผู้นำเข้าต้องบวกภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ก็จะทำให้สินค้าราคาแพงขึ้นและจะส่งผลให้ชาวอเมริกันตัดสินใจซื้อสินค้าน้อยลงโดยอัตโนมัติ ผู้นำเข้าชาวอเมริกันจ่ายภาษีอากรต่ำในอัตราประมาณไม่เกิน 2% มาจนเคยชินหลายทศวรรษ ฉะนั้นตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นไปจะเริ่มเห็นราคาสินค้าปรับขึ้นและสินค้าหลายชนิดจะเริ่มขาดตลาด กระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคและกดดันต่อนักการเมืองท้องถิ่นรวมถึงรัฐบาลกลางในที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันการเงินต่างๆตั้งเพดานอัตราสูงสุดที่ชาวอเมริกันจะรับได้ที่ 20%
แต่หากเกิน 20% ขึ้นไปจะเกิดการช็อกระบบและเศรษฐกิจจะเศรษฐกิจถดถอยภายในปีนี้
และประเมินว่านโยบายภาษีครั้งนี้จะนำมาสู่ปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐและอาจใกล้ระดับอันตรายสิ้นปีนี้ที่ 5% โดยคำนวณจากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐปัจจุบันที่ 2.67% และผลกระทบของภาษีใหม่จะบวกอีกกว่า 2.2%
เงินเฟ้อเป็นสัญญาณอันตรายต่อการเมือง อาจนำมาสู่เสถียรภาพที่สั่นคลอนของทรัมป์ ซึ่งคะแนนนิยมปัจจุบันร่วงลงเหลือ 40%
คำถามที่หลายคนสนใจมากคือสิ่งที่ทีมไทยแลนด์นำไปแลกเปลี่ยนกับสหรัฐนั้นเหมาะสมเพียงใด และหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆที่ยื่นข้อเสนอให้สหรัฐเช่นกันนั้นไทยแตกต่างมากเพียงใด
สรุปโดยสังเขป 10 ข้อหลักที่ไทยเสนอเป็นการแลกเปลี่ยน
1. ยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯประมาณ 90% ของรายการเป็น 0% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯกว่า 10,000 รายการจากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นของที่ไทยไม่ได้ผลิตเอง หรือผลิตไม่พอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง และอาหารเฉพาะทาง
2. ลดมาตรการกีดกันทางเทคนิค (NTBs)
ไทยยอมลดอุปสรรคด้านสุขอนามัย ศุลกากร และขั้นตอนการรับรองสินค้าสหรัฐ เช่น การใช้ระบบ “post-clearance audit” (อนุญาตให้สินค้าผ่านด่านก่อนแล้วตรวจย้อนหลัง) เพื่อเร่งกระบวนการและลดภาระต้นทุนให้ผู้ส่งออกสหรัฐ
3. เปิดทางให้สหรัฐฯเข้าลงทุนในอีอีซีและโครงสร้างพื้นฐาน
ไทยเสนอบริการ fast-track พร้อมสิทธิประโยชน์ BOI (Board of Investment) แก่บริษัทอเมริกันใน 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่: พลังงานสะอาด, Semiconductor/ICT, และโลจิสติกส์ เพื่อให้สหรัฐเห็นไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน
4. สั่งซื้อพลังงาน และอากาศยานจากบริษัทสหรัฐฯ
ภาครัฐและเอกชนไทยรวมกันเตรียมสั่งซื้อ LNG (ก๊าซธรรมชาติ) จากบริษัทสหรัฐ และ เครื่องบิน Boeing รุ่นใหม่
5. ให้คำมั่น “ลดเกินดุลการค้า” กับสหรัฐฯ 70% ภายใน 5 ปี
ไทยเสนอ roadmap เพื่อลดดุลการค้ากับสหรัฐที่ปัจจุบันเกินดุลกว่า 1.2 แสนล้านบาทต่อปี ให้เหลือเพียง 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยเพิ่มการนำเข้าสินค้าอเมริกันและดึงการลงทุนกลับเข้าสู่สมดุล
6. รับกติกา RVC ใหม่ (Rules of Origin)
ไทยยินยอมใช้ระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าที่ยืดหยุ่นน้อยลง เพื่อป้องกันกรณี “สินค้าจีนอ้อมผ่านไทย” และสร้างความเชื่อมั่นว่าสินค้าไทยไม่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อหลบภาษี
7. ลดภาษีบริการดิจิทัล/คลาวด์จากสหรัฐฯ
ไทยเสนอเว้นภาษี 5% ชั่วคราวสำหรับบริการดิจิทัลของบริษัทสหรัฐ (เช่น AWS, Google Cloud) เป็นเวลา 2 ปี เพื่อเปิดประตูให้บริษัทเทคโนโลยีอเมริกันเข้ามาลงทุนและให้บริการในไทยมากขึ้น
8. ขยายโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯ
ไทยยอมเพิ่มโควตานำเข้า ข้าวโพด, ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง จากสหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย และตอบแทนข้อเรียกร้องจากภาคเกษตรอเมริกัน
9. กันสินค้ายุทธศาสตร์บางรายการไม่ให้ถูกบีบเปิดภาษี 0%
แม้ไทยจะเปิดภาษี 0% ส่วนใหญ่ แต่ยังคงภาษีเดิมไว้กับสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป และอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อปกป้องเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ
10. ปฏิบัติตามเงื่อนไขหยุดยิงไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับกันโดยพฤตินัยแต่ไม่เป็นทางการว่าทั้งไทยและกัมพูชาต้องรีบลดความตึงเครียดตามคำขอร้องแกมบังคับของสหรัฐฯ
ส่วนเรื่องความยุติธรรม ใครเสียเชิง ใครได้เปรียบ และนโยบายภาษีทรัมป์จะอยู่นานเพียงใด หรือจะปุบปับเปลี่ยนเงื่อนไขตามความพึงพอใจหรือนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกหรือไม่ หรือเสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นอย่างไรนั้นคาดว่ารัฐบาลอเมริกันคงอยู่ครบเทอมแม้มีมรสุมรอบด้านแต่เสถียรภาพของรัฐบาลไทยท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤตคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะถึงข้ามปีหรือไม่ครับ







