หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูง น่ากังวลไหม?

การคาดการณ์ระดับหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงปี 2030 ของไอเอ็มเอฟ เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่สะท้อนถึงวินัยการคลัง ความสามารถในการใช้จ่ายด้านการคลัง และความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง
KEY
POINTS
- น่ากังวล เพราะระดับหนี้ที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเสถียรภาพการคลัง และอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศหากมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง
- หนี้ที่สูงทำให้ต้นทุนทางการเงินของประเทศสูงขึ้น (อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง
- อย่างไรก็ตาม ตัวเลขหนี้สาธารณะเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสรุปความเสี่ยงได้ทั้งหมด ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการเก็บภาษี และโครงสร้างหนี้
- ประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แม้มีหนี้สูงแต่ความเสี่ยงต่ำเพราะมีความน่าเชื่อถือสูง ในขณะที่ประเทศอย่างกรีซมีความเสี่ยงสูงจากปัญหาการขาดวินัยการคลังและปัญหาเชิงโครงสร้าง
- ความน่ากังวลยังขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการกู้ยืม หากรัฐบาลนำเงินไปใช้ในการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตและลดความเสี่ยงได้
หนี้สาธารณะทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 100% ของจีดีพี ภายในปี 2030 จาก 92.3% ของจีดีพี ณ สิ้น ปี 2024 อ้างอิงตามการประเมินล่าสุดจากรายงาน Fiscal Monitor ฉบับเดือนเมษายน 2025 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่จะเพิ่มสูงถึง 113.3% และ 82.0% ของจีดีพี ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ ณ สิ้นปี 2024 ที่ 108.5% และ 69.5% ของจีดีพี ตามลำดับ
ระดับหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นมาก สะท้อนถึงวินัยทางการคลังและความยั่งยืนด้านการคลัง เพราะรัฐบาลใช้จ่ายมากเกินกว่ารายได้ จึงต้องกู้ยืมเงินโดยตรงจากภาคเอกชนหรือสถาบันการเงินในประเทศ ต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังผ่านช่องทางการออกตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หรือการกู้ผ่านสถาบันการเงิน
จากรายงาน Fiscal Monitor ของไอเอ็มเอฟ พบว่า หลังวิกฤติโควิด รัฐบาลหลายประเทศเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการเติบโต และในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจจากแผลทางเศรษฐกิจ ปัญหาเชิงโครงสร้าง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศของโลก ทำให้รัฐบาลต้องใช้จ่ายเพื่อบรรเทาลกระทบทางเศรษฐกิจ ภายใต้ข้อจำกัดด้านการคลัง ที่เข้มงวดมากขึ้น
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีเกณฑ์ตายตัวของระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสำหรับประเทศต่าง ๆ แต่ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่เพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเด็นเสถียรภาพการคลัง แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน เพราะหากประเทศนั้นๆ มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สูง อาจตามมาด้วยโอกาสที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
เมื่อนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในประเทศที่มีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงย่อมต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น นั่นหมายความว่าต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและประชาชนจะสูงขึ้นตามไปด้วย จะกระทบต่อการบริโภคและการลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงในที่สุด นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ลงทุนทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นกัน
ประเทศที่มีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูง จะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด จะต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการจัดเก็บภาษี โครงสร้างหนี้ (ระยะสั้น/ระยะยาว, หนี้ในประเทศ/ต่างประเทศ) ความสามารถในการก่อหนี้ใหม่ สถานะทุนสำรองระหว่างประเทศ การเข้าถึงตลาดทุน และเสถียรภาพทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แม้จะมีหนี้สาธารณะสูงถึง 120.8% ของจีดีพี และ 236.7% ของจีดีพี ณ สิ้นปี 2024 แต่ไม่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ เพราะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีความน่าเชื่อถือ และมีเครื่องมือควบคุมเสถียรภาพทางการเงิน ตรงข้ามกับประเทศกรีซมีหนี้สาธารณะสูงถึง 150.9% ของจีดีพี เพราะการขาดวินัยการคลังของรัฐบาล ปัญหาการจัดเก็บภาษี และปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะถดถอย เช่นเดียวกับประเทศบาห์เรนที่มีหนี้สาธารณะสูงถึง 134% ของจีดีพี จากการใช้จ่ายด้านความมั่นคงและการทหาร อีกทั้งการใช้จ่ายด้านสังคม ในขณะที่รายได้ลดลงตาม
ทิศทางราคาน้ำมัน ทำให้ต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอลงแรง
ดังนั้น เมื่อเห็นเพียงตัวเลขอาจจะไม่เป็นคำตอบทั้งหมดว่าประเทศนั้นๆ มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ ต้องพิจารณาปัจจัยดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งต้องดูว่ารัฐบาลนำเงินกู้ไปใช้จ่ายอย่างไร หากนำไปใช้ในการลงทุน ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ การคาดการณ์ระดับหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงปี 2030 ของไอเอ็มเอฟ เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่สะท้อนถึงวินัยการคลัง ความสามารถในการใช้จ่ายด้านการคลัง และความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนในการตัดสินใจที่จะลงทุนในประเทศนั้นๆ ดังนั้น การติดตามข้อมูลด้านการคลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ย่อมจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนได้







