ข้อมูล Scope 3: เก็บดี มีรางวัล

การช่วยเหลือให้ธุรกิจมีระบบที่สามารถตรวจวัดและจัดเก็บข้อมูล Scope 3 ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำนั้น นอกจากจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้ธนาคารลดความเสี่ยงในการอำนวยสินเชื่อแก่ธุรกิจที่อาจมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และด้วยกลไกการให้รางวัลที่จะเพิ่มจูงใจแก่ภาคธุรกิจ
สวัสดีครับ
การเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะ Scope 3 เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “งานยาก” สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่จริงจังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครับ โดย Clarity AI บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำด้านการบริหารจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืนได้รายงานว่า ในปี 2567 บริษัทกว่าร้อยละ 80 ใน MSCI All Country World Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางจากทั้งตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ทั่วโลกได้เปิดเผยข้อมูล Scope 1 และ 2 แต่ในจำนวนนี้ มีบริษัทเพียงร้อยละ 60 ที่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 แสดงให้เห็นว่ายังมีช่องว่างของการเปิดเผยข้อมูลด้านนี้ครับ
เราทราบดีว่าการวัดผลและบริหารการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถือเป็นหัวใจของความยั่งยืน GHG Protocol หรือมาตรฐานการทําบัญชีก๊าซเรือนกระจกสําหรับภาครัฐและเอกชนได้กำหนดขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ การปล่อยโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร (Scope 1) การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าและความร้อน (Scope 2) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) เช่น การจัดซื้อวัตถุดิบ การขนส่ง การใช้ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการเดินทางของพนักงาน รวมทั้งการลงทุน โดย Scope 3 จัดเป็นข้อมูลที่ยากที่สุดในการเก็บรวบรวมและวัดผลครับ
สาเหตุเป็นเพราะข้อมูลใน Scope 3 นั้นจะมีลักษณะที่ “ซับซ้อน” และ “กระจัดกระจาย” ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานกับซัพพลายเออร์หลายรายที่อยู่ในหลายประเทศและอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันเรายังไม่เห็นระบบหรือแรงจูงใจ ตลอดจนสิทธิประโยชน์จากภาครัฐในการวัดหรือเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นหลายองค์กรยังมองว่าการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3 เป็นการเพิ่มภาระ อีกทั้งยังมีโอกาสสูงที่ข้อมูลจะคลาดเคลื่อนและขาดความแม่นยำ
แต่ปัญหาย่อมมาพร้อมกับโอกาสครับ เมื่อเร็วๆ นี้ ธุรกิจสตาร์ตอัปจากประเทศเยอรมนีชื่อว่า Climatiq ได้สร้างโมเดลด้านเทคโนโลยีในการแก้ปัญหานี้ได้น่าสนใจ โดยล่าสุดสามารถระดมทุนเป็นเงินกว่า 10 ล้านยูโร (ประมาณ 380 ล้านบาท) สำหรับการขยายการให้บริการ “ระบบบริหารจัดการคาร์บอนแบบอัจฉริยะ (Carbon Intelligence)” ที่สามารถฝังการคำนวณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงในซอฟต์แวร์ธุรกิจที่จะคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แบบรวดเร็วทันใจ (Real Time) เช่น เมื่อเราอัพโหลดรูปใบเสร็จค่ากาแฟแบรนด์สีเขียวลงไป ระบบจะคำนวณให้ทันทีว่ากาแฟแก้วนี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าใด
นอกจากนี้ Climatiq ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่มีฐานข้อมูลค่าการแปลงกิจกรรมเป็นคาร์บอน (Conversion Factor) กว่า 200,000 รายการ และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) หรือระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการและวางแผนทรัพยากรขององค์กรโดยรวม เช่น การเงิน การผลิต การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ การจัดซื้อ และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ในปี 2567 ได้มีการคำนวณข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกไปแล้วกว่าหนึ่งพันล้านครั้ง โมเดลนี้สะท้อนว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาดสามารถใช้สนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Making) ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังลดช่องว่างด้านการเก็บข้อมูล Scope 3 อีกด้วย
สำหรับประเทศไทย การจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี พ.ศ. 2608 ต้องอาศัยระบบการจัดการข้อมูลการปล่อยคาร์บอนในทุกมิติ โดยเฉพาะ Scope 3 ที่ท้าทายสำหรับภาคธุรกิจมากที่สุด ขณะเดียวกัน เราได้เห็นความคาดหวังจากหน่วยงานกำกับดูแลมากขึ้นผ่านแนวทางต่างๆ อาทิ มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Thailand Taxonomy) ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ที่ล่าสุดได้ขยายความครอบคลุมไปยังภาคเศรษฐกิจที่มากขึ้น ได้แก่ (1) ภาคเกษตร (2) ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ (3) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และ (4) ภาคการจัดการของเสีย เพิ่มเติมจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ SMEs ยังขาดเครื่องมือและแหล่งทุนที่สามารถช่วยสนับสนุนการวัดและจัดเก็บข้อมูล Scope 3 อย่างเป็นระบบ
ขณะเดียวกัน ภาคการธนาคารสามารถสนับสนุนลูกค้าภาคธุรกิจให้เปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืนได้ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้สินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ (Transition Loan) หรือ ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bonds) ในการช่วยธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงให้ลงทุนในการพัฒนาระบบการติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด อาทิ การพัฒนาระบบพลังงานหมุนเวียนหรือแพลตฟอร์มติดตามคาร์บอนภายในองค์กร ในอนาคตเราอาจได้เห็นธนาคารพัฒนากลไกจูงใจลูกค้าให้เก็บข้อมูล Scope 3 อย่างเป็นระบบผ่านการให้สิทธิพิเศษ (Incentives) เช่น การลดดอกเบี้ยหรือการให้มาตรฐานรับรอง (Credential) แก่ธุรกิจที่ “ทำดี” ซึ่งจะเป็นทั้งกำลังใจและเป็นแต้มต่อให้กับลูกค้าที่มีความตั้งใจบนเส้นของความยั่งยืนครับ
การช่วยเหลือให้ธุรกิจมีระบบที่สามารถตรวจวัดและจัดเก็บข้อมูล Scope 3 ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำนั้น นอกจากจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้ธนาคารลดความเสี่ยงในการอำนวยสินเชื่อแก่ธุรกิจที่อาจมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และด้วยกลไกการให้รางวัลที่จะเพิ่มจูงใจแก่ภาคธุรกิจ เชื่อว่าการใช้เทคโนโลยีผสานกับการสนับสนุนด้านการเงิน จะผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ตามเป้าหมายครับ







