Mid-year outlook:Investing in a multi-polar world

ปี 2025 เป็นปีที่ยากแก่การคาดการณ์ เพราะตลาดโลกอยู่ในช่วงของ “การก่อตัวจุดสูงสุด” ของวัฏจักรขาขึ้นที่ยืดเยื้อจากนโยบายการเงินและการคลังที่ยังไม่มีทิศทางแน่นอน ในภาวะแบบนี้ การไม่ทุ่มเทเดิมพันในภูมิภาคเดียว ไม่ยึดติดกับมุมมองเดิม และมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตตามสถานการณ์ คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุดการกระจายพอร์ต

หากให้สรุปครึ่งปีแรกของ 2025 ด้วยคำเดียว คงหนีไม่พ้นคำว่า “ผันผวน” ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร อัตราเงินเฟ้อ หรือแม้แต่ประเด็นเรื่องนโยบายการค้าและด้านภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนมีแต่ความไม่แน่นอนการเคลื่อนไหวนั้นพลิกผันตลอดเวลา ดัชนี S&P 500 ที่เคยร่วงลงถึงเกือบ 18% ในเดือนเมษายน กลับฟื้นตัวขึ้นมายืนเหนือ 6,000 จุดอีกครั้งในเดือนมิถุนายน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี แม้ขยับขึ้นจากต้นปีแต่ยังแกว่งอยู่ในกรอบแคบ ขณะที่เงินดอลลาร์อาจจะเป็นสินทรัพย์เดียวที่มีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ที่ชัดเจนที่สุด โดยอ่อนค่าลงเกือบ 10% เมื่อเทียบกับตะกร้าเงินหลักอื่นๆ นับเป็นการเริ่มต้นปีที่แย่ที่สุดของดอลลาร์ในรอบหลายทศวรรษ

ความเปราะบางในตลาดไม่ได้มาจากตัวเลขเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ไม่ว่าจะเป็นภาษีนำเข้า แนวทางการใช้นโยบายการคลังแบบเข้มงวดหรือผ่อนคลายสลับกัน รวมถึงจุดยืนด้านต่างประเทศที่กลับไปกลับมา ตัวอย่างล่าสุดคือการโจมตีทางทหารต่ออิหร่านที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ตลาดกลับแทบไม่ตกใจหรือแพนิคเลย ดัชนีหุ้นปรับขึ้นทันทีในวันถัดไป ราคาน้ำมันกลับลดลง ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า “ความเสี่ยง” ที่แท้จริงในครึ่งปีนี้อยู่ตรงไหนกันแน่

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนชัดจากบทเรียนครึ่งปีแรก คือ “ความทนทานหรือภูมิคุ้มกัน” ของสินทรัพย์เสี่ยงต่อข่าวร้ายระยะสั้น นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยต่างประเมินผิด ท่ามกลางข้อมูลเชิงมหภาคที่ไม่ชัดเจน ตลาดกลับเลือกที่จะ “ไม่ตอบสนอง” กับความเสี่ยงแบบเดิม ๆ และชี้ให้เห็นว่าความสำคัญของการกระจายพอร์ตอย่างมีวินัยนั้นยังคงจำเป็นเสมอ 

มุมมองครึ่งปีหลัง: ลด Home Bias ลง เพิ่มน้ำหนักนอกสหรัฐฯ 

สำหรับครึ่งปีหลัง เราเริ่มเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในแต่ละภูมิภาคที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย 

ยุโรป ที่เคยถูกมองว่าเข้าสู่ยุค “Japanification”-โตช้า ดอกเบี้ยต่ำ เงินฝืด-กลับเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการหันมาใช้นโยบายการคลังเชิงรุก ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้ถึง 1% แล้วในปีนี้ และส่งผลให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและกลุ่ม Defense ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มงบประมาณเพื่อป้องกันประเทศจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศสตร์ที่สูงขึ้น 

จีน แม้ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวเชิงโครงสร้างจากปัญหาอสังหาริมทรัพย์ แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่ง และการสนับสนุนของภาครัฐผ่านมาตรการเฉพาะจุดเริ่มมีผลบ้างแล้ว การลงทุนในจีนควรเป็นแบบคัดเลือกเฉพาะจุด (selective exposure) โดยเน้นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่าพึ่งพานโยบายกระตุ้น 

อินเดีย ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของเงินทุนระยะยาว ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โครงสร้างประชากรหนุนการเติบโต และตลาดทุนที่เริ่มมีความลึกมากขึ้น อย่างไรก็ตามในฝั่งของหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่นั้นแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งด้านพื้นฐานและยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและยังไม่มีบริษัทอื่นทดแทนได้อย่างชัดเจน ทำให้เราแนะนำว่ายังคงสัดส่วนบางส่วนในหุ้นเหล่านี้

ปี 2025 เป็นปีที่ยากแก่การคาดการณ์ เพราะตลาดโลกอยู่ในช่วงของ “การก่อตัวจุดสูงสุด” ของวัฏจักรขาขึ้นที่ยืดเยื้อจากนโยบายการเงินและการคลังที่ยังไม่มีทิศทางแน่นอน ในภาวะแบบนี้ การไม่ทุ่มเทเดิมพันในภูมิภาคเดียว ไม่ยึดติดกับมุมมองเดิม และมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตตามสถานการณ์ คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุดการกระจายพอร์ตอย่างมีเหตุผลจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงทฤษฎี แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้นทุกวันในโลกการลงทุนที่ไร้สูตรสำเร็จ

ทั้งนี้ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน