ปัจจัยเสี่ยงจากสงครามตะวันออกกลางและการเมืองภายในประเทศ

ท่ามกลางความไม่แน่นอน รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นผ่านมาตรการนโยบาย ล่าสุด มีมติอนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจเห็นชอบ โดยราว 80% ของวงเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคม โครงการน้ำ และสาธารณูปโภค รวมถึงการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการส่งออก และการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
ในช่วงกลางปี 2568 เศรษฐกิจโลก ยังคงเผชิญกับภาวะความไม่แน่นอนในระดับสูง แม้จะมีพัฒนาการเชิงบวกบางประการ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงจากระดับสูงสุดก่อนหน้า เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ดูเหมือนจะคลี่คลายลงชั่วคราว ภายหลังทั้งสองฝ่ายตอบรับข้อเสนอหยุดยิงชั่วคราวจากสหรัฐฯ และพันธมิตร โดยตลาดหุ้นปรับตัวในทิศทางบวกจากความคาดหวังว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลาม
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งยังอาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งนี้ความเสี่ยงสำคัญคือ ความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะใช้ “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของน้ำมันโลก เป็นเครื่องมือตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ หากสถานการณ์ลุกลาม อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของอุปทานพลังงานทั่วโลก
อีกหนึ่งประเด็นเสี่ยงคือ ความตึงเครียดบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ชายแดน ภายหลังการเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังทั้งสองประเทศ แม้ยังไม่ลุกลามสู่ความรุนแรงระดับสูง แต่การที่มีคำสั่งปิดด่านชายแดนที่ติดกัมพูชาทั้งหมด ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าท้องถิ่น และซ้ำเติมบรรยากาศความมั่นคงบริเวณแนวชายแดน
สถานการณ์ยิ่งมีความรุนแรงขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์คลิปเสียงสนทนาระหว่างผู้นำไทยกับอดีตผู้นำกัมพูชาหลุดเผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งทำให้เกิดกระแสเรียกร้องจากฝ่ายค้านและสังคมให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในขณะเดียวกัน กลุ่ม คปท. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยฯ) ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยจัดกิจกรรม “มอบหนังสือข้อเรียกร้อง” ต่อรัฐบาล เรียกร้องให้มีการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยุติความขัดแย้งด้วยกระบวนการประชาธิปไตยที่โปร่งใสและเป็นธรรม
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้พยายามสร้างความเชื่อมั่นผ่านมาตรการเชิงนโยบาย โดยล่าสุด คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจเห็นชอบ โดยราว 80% ของวงเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคม โครงการน้ำ และสาธารณูปโภค รวมถึงการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการส่งออก และการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
แม้มาตรการดังกล่าวจะไม่สามารถลบล้างแรงกดดันจากความไม่แน่นอนได้ทั้งหมด แต่ถือเป็น “ปัจจัยสนับสนุนเชิงบวก” ที่ช่วยพยุงความเชื่อมั่นในภาคเศรษฐกิจและตลาดทุนได้ในระดับหนึ่ง ในเชิงกลยุทธ์ระยะสั้น นักลงทุนอาจพิจารณาเน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้







