Fading US Exceptionalism เงินดอลลาร์สหรัฐ กำลังจะเสื่อมค่าจริงหรือ?

การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ณ ตอนนี้ ยังคงห่างไกลกับจุดจบของ US Exceptionalism หากมองจากความสำคัญของเศรษฐกิจ และตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก ตลอดจนค่าเงินสกุลอื่นๆ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเข้ามาทดแทนได้
ท่ามกลางตลาดการเงินโลกที่ผันผวนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 จากสาเหตุหลักความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก หนึ่งในธีมที่เห็นชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นคือภาพความพิเศษของสินทรัพย์สหรัฐฯ (US Exceptionalism) ที่ทยอยลดลง ผ่านการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ต่าง ๆ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่หลุดระดับ 100 และเทียบตั้งแต่ต้นปีอ่อนค่า 9.3% ขณะที่คุณสมบัติ Safe Haven ในช่วงที่ตลาดปิดรับความเสี่ยงซึ่งเคยโดดเด่น กลับไม่ชัดเจนเหมือนเช่นในอดีต สะท้อนจากการแข็งค่าเพียงเล็กน้อยหลังสถานการณ์ในตะวันออกกลางมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับความพิเศษของเงินดอลลาร์ว่ากำลังถึงจุดสิ้นสุด หรือภาพดังกล่าวเป็นการเกิดขึ้นเป็นเพียงชั่วคราว
หากมองในมุมของอิทธิพลเศรษฐกิจ และตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่มีต่อทั่วโลก ขั้นตอนการ De-dollarization ยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน ประกอบกับเงินสกุลหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะสกุลเงินหยวน ยังคงไม่พร้อมที่จะเข้ามาทดแทนบทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐ
เงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีความสำคัญ หากมองถึงบทบาทของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีต่อโลกค่อนข้างมาก สะท้อนจากสัดส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ เทียบกับเศรษฐกิจโลกที่สูงถึง 27% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของโลก ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างประเทศจีนที่มีสัดส่วนประมาณ 17% ต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ในเชิงการค้าระหว่างประเทศ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นตัวกลางสำคัญ หลังมีสัดส่วนการใช้สูงถึง 80% ตลอดจนเป็นเงินสกุลหลักสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ (SWIFT) ที่มีสัดส่วนสูงถึง 49% ภาพดังกล่าวยังคงแตกต่างจากการใช้สกุลเงินหยวนค่อนข้างมากที่มีสัดส่วนเพียง 4.1% ในเชิงการค้าระหว่างประเทศ และ 7.4% สำหรับเงินสกุลหลักสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ (SWIFT) ตามลำดับ
ในแง่ของตลาดการเงิน สินทรัพย์สหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลต่อตลาดการเงินโลกสูง สะท้อนจากสภาพคล่องของตลาดที่สูง ตลอดจนมูลค่าของตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังคงมีสัดส่วนการถือครองจากต่างชาติที่สูง หากเทียบกับสัดส่วนการถือครองของต่างชาติในสินทรัพย์ของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐเองก็เป็นเงินสกุลหลักสำหรับเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 60% ทิ้งห่างเงินยูโร ที่มีสัดส่วนราว 20% ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 ขณะที่เงินหยวนยังมีสัดส่วนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ต่ำประมาณ 2% ท่ามกลางการควบคุมการเคลื่อนไหวของเงินหยวนรายวัน ซึ่งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเงินหยวนในระยะยาว
ดังนั้น การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปีนี้ที่ผ่านมานี้ ยังคงห่างไกลจากจุดสิ้นสุดของ US Exceptionalism โดยเฉพาะหากเรามองดัชนี Dollar Index ย้อนกลับไปในอดีต จะพบว่าระดับของดัชนีในปัจจุบัน (98.18 ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2568) ยังถือว่าสูง หากเทียบกับจุดต่ำสุดที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 75.0 ในช่วงวิกฤตการเงินโลก ในปี 2551 และวิกฤตเพดานหนี้สาธารณะปี 2554
อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์เริ่มส่งสัญญาณการเสื่อมค่าเพิ่มมากขึ้น หากย้อนกลับไปดูในอดีต ภาพการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐที่เกิดขึ้นพร้อมกับการปรับสูงขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 10 ปี ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก ส่วนหนึ่งอาจสะท้อนความพิเศษของสินทรัพย์สหรัฐฯ รวมถึงเงินดอลลาร์ที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งหากเราอ้างอิงทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกของ Ray Dalio จะพบว่า อิทธิพลของสหรัฐฯ ที่มีต่อโลก เริ่มส่งสัญญาณการเสื่อมค่ามากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดอาจส่งผลต่อมูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัญหาหนี้สาธารณะที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ : มูลค่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และความเสี่ยง Government Shutdown ที่มีเกือบทุกปี ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปัจจุบัน สูงกว่า 120% ภาพดังกล่าวส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในระยะยาว โดยล่าสุดทาง Moody’s มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงเหลือ Aa1 จากระดับ Aaa ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อวินัยทางการคลัง ซึ่งเมื่อรวมกับบริษัทจัดอันดับที่เหลืออีก 2 แห่ง ทำให้ปัจจุบันสินทรัพย์สหรัฐฯ ไม่ได้มีความเสี่ยงต่ำสุด
หลายประเทศเริ่มกระจายการลงทุนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ : แม้ว่าดอลลาร์สหรัฐจะมีสัดส่วนมากกว่า 50% ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่มีทิศทางการถือครองที่ทยอยปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงออกจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อลดความผันผวน และความไม่แน่นอนของนโยบายต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ผ่านการสะสมทองคำ สะท้อนจากสัดส่วนในทุนสำรองที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนการกระจายไปใช้เงินสกุลอื่น ๆ เช่น เงินยูโร และเงินหยวน
บทบาทของสหรัฐฯ ที่มีต่อโลกลดลง สวนทางกับบทบาทของประเทศผู้ท้าชิงที่โดดเด่นชัดเจนมากขึ้น : การเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีจาก Joe Biden ไปเป็น Donald Trump ที่มาพร้อมกับจุดยืนนโยบายที่ต่างจากเดิมตั้งแต่มุมมองต่อพลังงานสะอาด และความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ผ่านการถอนตัวจากข้อตลกลง Paris Accord หรือมุมมองต่อการค้าโลกผ่านการประกาศนโยบายภาษี ตลอดจนจุดยืนในประเด็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั้งยูเครน หรือประเด็นในตะวันออกกลางที่ต่างออกไป สวนทางกับบทบาทของจีนที่มีต่อโลกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาในหลายประเทศ ตลอดจนโครงการเชื่อมเส้นทางขนส่งอย่าง Belt and Road นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด สะท้อนจากอิทธิพลของบริษัทสัญชาติจีน อาทิ Huawei และ TikTok ที่มีต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น
โดยสรุป การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ณ ตอนนี้ ยังคงห่างไกลกับจุดจบของ US Exceptionalism หากมองจากความสำคัญของเศรษฐกิจ และตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก ตลอดจนค่าเงินสกุลอื่นๆ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเข้ามาทดแทนได้ อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพิเศษดังกล่าวกำลังทยอยหมดไป หลังเริ่มเห็นสัญญาณการเสื่อมค่าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องดูต่อไปในระยะยาว







