Musk vs. Trump ผลกระทบเมื่อคู่หูกลายเป็นศัตรู

Musk vs. Trump ผลกระทบเมื่อคู่หูกลายเป็นศัตรู

ภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจถูกสั่นคลอนเนื่องจากมัสก์แสดงบทบาทต่อต้านมาตลอด ซึ่งแม้จะเป็นข่าวดีก็คงประมาทไม่ได้ เวลาในการเจรจาใกล้จะหมดลงแล้วในวันที่ 9 ก.ค.ที่จะมาถึงนี้ ส่งกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ประสบความสำเร็จผ่อนหนักให้เป็นเบา ประคองเศรษฐกิจให้ฟันฝ่าวิกฤติหลายด้านในระยะนี้

ข่าวที่ทำให้โลกตะลึงในวันที่ 5 มิ.ย. ค.ศ. 2025 คือการสิ้นสุดของความสัมพันธ์ของสองบุคคลที่มีอิทธิพลชี้ทิศทางการเมืองและความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งอาจกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องถึงเทคโนโลยีและนโยบายสำคัญต่างๆ ของโลกก็ว่าได้

อีลอน มัสก์และโดนัลด์ ทรัมป์เคยถูกเปรียบเทียบว่าเป็น “ประธานาธิบดีคู่ หรือ คนหนึ่งเป็นประธานาธิบดี ขณะที่อีกคนเป็นนายกรัฐมนตรี” คุมอำนาจแทบเบ็ดเสร็จในทุกด้านมาเป็นเวลากว่าห้าเดือนของรัฐบาลทรัมป์2.0

อีลอน มัสก์ ซึ่งทุ่มสุดตัวในการหาเสียงโดยลงเงินกว่า 250 ล้านดอลลาร์ ช่วยให้ทรัมป์ได้ชัยชนะกลับมาครองอำนาจเป็นสมัยที่สอง และดูเหมือนจะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล ทั้งโครงการสำคัญต่างๆซึ่งมีงบประมาณไม่ต่ำกว่า 38,000 ล้านดอลลาร์ และการเข้าลึกถึงอำนาจวงในในระดับที่สามารถตัดงบประมาณและปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐออกเป็นจำนวนมาก (DOGE) รวมทั้งการยุบองค์กรต่างๆ

การลาออกของมัสก์กลับไปทำงานเอกชน ท่ามกลางความบรรยากาศที่ดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลับกลายเป็นการวิวาทอย่างรุนแรงในที่สาธารณะ โดยมัสก์กล่าวหาว่ากฎหมายงบประมาณที่ทรัมป์กำลังผลักดันอยู่นั้น “เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและสกปรก” ซึ่งจะทำให้การขาดดุลของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นอย่างมาก และสวนต่อนโยบายการลดค่าใช้จ่ายที่เคยตกลงกันไว้

ทรัมป์ตอบโต้แสดงความ “ผิดหวัง” ต่อคำวิจารณ์ของมัสก์ โดยระบุว่ามัสก์ไม่พอใจเพราะร่างกฎหมายจะยกเลิกการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าบางส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อเทสลา ทรัมป์ยังขู่ว่าจะตัดเงินอุดหนุนและสัญญาที่ทำกำไรมหาศาลจากรัฐบาลกับบริษัทต่างๆของมัสก์

มัสก์ตอบโต้โดยอ้างว่าชื่อของทรัมป์ปรากฏอยู่ในเอกสารของเจฟฟรีย์ เอปสเตน ซึ่งเป็นคดีอาชญากรรมอื้อฉาว 

โดยระบุว่านี่คือ “เหตุผลที่แท้จริง” ที่เอกสารเหล่านั้นไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ นอกจากนี้ เขายังย้ำว่าทรัมป์“อกตัญญู” และหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากเขาก็คงแพ้การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แถมยังส่งสัญญาณสนับสนุนการถอดถอนทรัมป์และเสนอให้รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์เป็นผู้แทน

ข้อพิพาทได้ลุกลามไปไกลเกินกว่าวาทกรรมทางการเมืองและกระทบต่อธุรกิจแล้ว โดยทรัมป์ขุ่จะตัดสัญญาต่างๆของบริษัทของมัสก์ เช่น Tesla และ SpaceX มัสก์ตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะเริ่มปลดประจำการยานอวกาศ Dragon ของ SpaceX ซึ่งจะสะเทือนต่อการปฎิบัติการของ NASA

จับตามองผลกระทบของ “สองเสือซึ่งเคยอยู่ในถ้ำเดียวกัน” และรู้ตื้นลึกหนาบางระหว่างกันว่าจะกระทบต่อภาคเทคโนโลยี และอาจส่งผลในระยะยาวต่อนวัตกรรม การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างซิลิคอนวัลเลย์และรัฐบาลกลาง

1. ผลกระทบทางการเงินและการปฏิบัติการโดยตรงต่อเทสลาและสเปซเอ็กซ์

หากทรัมป์ “ยุติเงินอุดหนุนและสัญญาระหว่างรัฐบาลกับอีลอน” จะตัดรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ของเทสลาและสเปซเอ็กซ์

ทรัมป์อาจยกเลิกเครดิตภาษีพลังงานสะอาดและเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า อาจทำให้เทสลาสูญเสียเงินกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และการยกเลิกเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลางในวงกว้างขึ้นอาจทำให้รายได้ของเทสลาลดลงประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี (ราคาหุ้นของ Tesla ร่วงลงมากกว่า 14% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว 5 มิ.ย.) 

SpaceX มีสัญญากว่า 22,000 ล้านดอลลาร์กับกระทรวงกลาโหมและ NASA รวมถึงบทบาทสำคัญในการขนส่งนักบินอวกาศและสินค้าไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ผ่านยานอวกาศ Dragon และการพัฒนายานลงจอดบนดวงจันทร์สำหรับโครงการ Artemis ของ NASA ซึ่งหมายถึงการ ชะลอการพัฒนาของสหรัฐในการสำรวจอวกาศ และการปล่อยดาวเทียมเพื่อความมั่นคงรวมทั้งอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ต่างๆ ซึ่งไม่มีบริษัทอื่นใดสามารถเทียบเคียง และเข้ามาทดแทนได้

2. ความไม่แน่นอนทางการเมืองและกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับเทคโนโลยี

คาดว่าจะมีการแทรกแซงโดยฝ่ายรัฐบาลเพื่อตรวจสอบบริษัทที่ถือว่าเป็นศัตรู ขณะเดียวกันบริษัทของมัสก์ก็มีข้อมูลและขีดความสามารถเพื่อตอบโต้

จึงอาจเห็นการบั่นทอนซึ่งกันและกัน

3. ผลกระทบต่อนวัตกรรมและการแข่งขัน และอาจเปิดโอกาสให้ประเทศที่เป็นคู่แข่งหรือศัตรูกับสหรัฐแทรกแซงได้

นวัตกรรมของ Tesla และ SpaceX อาจเผชิญกับอุปสรรคทางการเงินและกฎระเบียบที่สำคัญอันเนื่องมาจากข้อพิพาททางการเมือง อาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยในรถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีแบตเตอรี่ จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Starlink) ช้าลง ซึ่งหมายถึงการบ่อนทำลายความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐนั่นเอง

นอกจากนั้นผู้สนับสนุนทรัมป์ ออกมากดดันให้ใช้อำนาจของรัฐสอบสวนกิจการและเรื่องส่วนตัวของมัสก์ และถึงขั้นยุยงให้เนรเทศออกนอกสหรัฐ ซึ่งจะกลายเป็นความสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงอย่างแน่นอน

โอกาสที่ทั้งสองคนจะกลับมาดีกันเช่นเดิมนั้นคงเป็นไปได้ยาก และทั้งสองฝ่ายมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมาก และมีพลังทางการเงินและอิทธิพลไม่แพ้กัน อาจจะแตกต่างเรื่องฝ่ายหนึ่งใกล้ชิดกับเทคโนโลยีและเงินมหาศาล ขณะที่อีกฝ่ายมีอำนาจทางการเมืองและบังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือได้

ความเปราะบางของการเมืองในสหรัฐและผลกระทบต่อเทคโนโลยีซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแทบทุกอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่อาจกระทบต่อนโยบายสำคัญต่างๆ ซึ่งหลายประเทศรวมทั้งไทยกำลังปรับตัวเพื่อรับมืออยู่

เรื่องภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจถูกสั่นคลอนเนื่องจากมัสก์แสดงบทบาทต่อต้านมาตลอด ซึ่งแม้จะเป็นข่าวดีก็คงประมาทไม่ได้ เวลาในการเจรจาใกล้จะหมดลงแล้วในวันที่ 9 ก.ค.ที่จะมาถึงนี้ ส่งกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ประสบความสำเร็จผ่อนหนักให้เป็นเบา ประคองเศรษฐกิจให้ฟันฝ่าวิกฤติหลายด้านในระยะนี้ ทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในและต่างประเทศ ซึ่งกำลังเขย่าเสถียรภาพของรัฐบาล และอาจนำมาสู่การคืนอำนาจให้ประชาชนในเวลาอีกไม่นานครับ