มูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐ (ตอนที่ 3) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

ครั้งที่แล้วผมสรุปว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเทียบกับทองคำ (โดยปรับเงินเฟ้อออกไป) จะปรับเปลี่ยนไปได้เพราะ 3 ประเด็นหลัก
คือ วินัยทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (หากคุมเงินเฟ้อไม่ได้ เงินเหรียญสหรัฐก็จะอ่อนค่าลงเทียบกับทอง) วินัยทางการคลัง (ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐ) และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐ (ซึ่งสะท้อนการใช้จ่ายเกินตัวของประชาชนสหรัฐ)
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าเงินของสหรัฐนั้น มีความสำคัญเพราะเงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลก ดังนั้น เราชาวโลกทุกคนจึงควรมีความเข้าใจในระดับพื้นฐานว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร และแนวโน้มในอนาคตน่าจะเป็นเช่นไร
ทั้งนี้ขอย้ำอีกทีว่า ผมไม่สามารถบอกได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลงในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า (ไม่มีใครทำนายอัตราแลกเปลี่ยนได้ถูกต้องทุกครั้งไป บางคนอาจเดาถูกได้ในบางครั้งเหมือนใบ้หวย)
แต่ผมจะขอเล่าประวัติศาสตร์ ที่นำมาซึ่งการที่เงินเหรียญสหรัฐได้พลิกผันมาเป็นเงินสกุลหลักของโลก
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประชาชนต้องการเป็นอิสระ ดังนั้น จึงต้องการจำกัดอำนาจรัฐไม่ให้เข้ามาแทรกแซงการดำเนินชีวิตและการทำมาหากินของประชาชน (จนทุกวันนี้ จึงยังไม่ต้องการจำกัดสิทธิของประชาชนที่จะซื้ออาวุธปืนได้โดยเสรี)
ดังนั้น แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ตอนต้นศตวรรษที่ 20 ก็ยังมีกระแสต่อต้านการมีธนาคารกลางเพื่อควบคุมธนาคารพาณิชย์ และทำหน้าที่เสริมสภาพคล่องให้กับระบบธนาคารเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน (lender of last resort)
ในขณะที่ ธนาคารกลางที่เก่าแก่ที่สุดคือ ธนาคารกลางของสวีเดนที่จัดตั้งขึ้นในปีค.ศ 1668 และธนาคารกลางของอังกฤษถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ 1694
มาถึงตรงนี้ผมจะอ้างอิงงานวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเงินเหรียญของสหรัฐคนหนึ่งคือ ศ. Barry Eichengreen (University of California, Berkeley) ซึ่งเล่าว่า
คนที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ก่อตั้งธนาคารกลางของสหรัฐคนหนึ่งคือนาย Paul Warburg คนเยอรมัน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินระหว่างประเทศและได้ทำงานในสถาบันการเงินที่กรุงลอนดอน
และได้เห็นถึงความได้เปรียบของประเทศอังกฤษที่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทนำของเงินปอนด์อังกฤษ
ต่อมานาย Warburg ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในปี 1902 และเมื่อได้แปลงสัญชาติเป็นคนอเมริกาในปี 1906 ก็ได้รณรงค์ให้รัฐบาลสหรัฐออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งธนาคารกลางอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
เพราะรู้ว่าสหรัฐมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก หากสามารถสร้างระบบการเงินและสถาบันการเงินที่มั่นคง
พอดีในปี 1907 สหรัฐเผชิญกับวิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่ ธนาคารนับร้อยแห่งประสบปัญหาล้มละลาย จนเกิดกระแสที่ทำให้รัฐสภาสหรัฐออกกฎหมายให้ศึกษาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีธนาคารกลางในปี 1908
จนในที่สุด สหรัฐก็ได้จัดตั้งธนาคารกลางขึ้นมาโดยประธานาธิบดี Wilson ลงนามในกฎหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913
สังเกตว่าสหรัฐไม่ต้องการให้มี “ธนาคารกลาง” (Central bank) แต่ยอมให้มีคณะกรรมการกลางที่จะกำกับดูแลและมีทุนสำรองในระดับรัฐบาลกลาง “ธนาคารกลาง”ของสหรัฐจึงได้ชื่อว่าเป็น “Federal Reserve System” ไม่ใช่ “Central Bank”
ต่อมา เมื่อรัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมาย Smoot Hawley ในปี 1930 ซึ่งสหรัฐปรับขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากทั่วโลกประมาณ 20%
ทำให้ความเชื่อมั่นในเงินเหรียญสหรัฐเสื่อมถอยลง พร้อมกับวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบทำให้มูลค่าการค้าทั่วโลกหดตัวลงไปกว่า 60%
ทั้งนี้เพราะมีการตอบโต้สหรัฐ โดยประเทศต่างๆก็ได้ปรับขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันการค้าเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีการแข่งกันลดค่าเงินของตัวเองอีกด้วย
นักประวัติศาสตร์ศาสตร์ส่วนใหญ่สรุปว่า กฎหมาย Smoot Hawley มีบทบาทสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ช่วยให้ฮิตเลอร์ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศเยอรมนีในปี 1933
ก่อนหน้าที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบลงในเดือนกันยายน 1945 ได้มีการประชุมที่เมือง Bretton Woods ในเดือนกรกฎาคม 1944 เพื่อปฏิรูประบบการเงินและระบบการค้าของโลก เพื่อมีให้ต้องเผชิญกับข้อผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (ซึ่งทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2)
ทั้งนี้สาระสำคัญคือ การจัดตั้งไอเอ็มเอฟ (International Monetary Fund) ธนาคารโลก และข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT) ที่ต่อมาก็คือองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization)
GATT นั้นคือองค์กรที่มีหน้าที่ส่งเสริมให้การค้าระหว่างประเทศมีความเสรีมากยิ่งขึ้น คือลดภาษีศุลกากรและลดมาตรการกีดกันการค้าทั่วโลก (ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วง 50 ปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2)
สำหรับธนาคารโลกนั้น เดิมมีชื่อว่า International Bank for Reconstruction and Development กล่าวคือได้รับหน้าที่ให้ปล่อยสินเชื่อระยะยาวให้กับประเทศต่างๆ เพื่อการฟื้นฟูบูรณะและพัฒนาเศรษฐกิจหลังจากที่ประเทศต่างๆได้รับความเสียหายอย่างมากจากสงครามโลกที่ยืดเยื้อมานานถึง 6 ปี
แต่ส่วนที่ทำให้เงินเหรียญสหรัฐโดดเด่นและผงาดขึ้นมาเป็นเงินสกุลหลักของโลกคือ ผลของการประชุม Bretton Woods และการก่อตั้งไอเอ็มเอฟ ที่ผมจะขอเขียนถึงในตอนต่อไปครับ