จากสงครามการค้าสู่ "สงครามค่าเงิน"

จากสงครามการค้าสู่ "สงครามค่าเงิน"

แม้ในช่วงที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์จะลดทอนภาษี Reciprocal tariff ลงชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือแนวโน้มที่สงครามการค้ากำลังจะพัฒนาเป็น “สงครามค่าเงิน” โดยมีจีนและสหรัฐเป็นผู้เล่นสำคัญ

ในสงครามการค้าปี 2561 จีนใช้เวลาพิจารณาก่อนตัดสินใจลดค่าเงินหยวนเพื่อตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐ แต่ครั้งนี้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ส่งสัญญาณด้วยการตั้งอัตราอ้างอิงประจำวันเกิน 7.20 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ไม่เคยทะลุมาตั้งแต่ ก.ย.2566

การตัดสินใจว่าจีนจะใช้การอ่อนค่าเงินหยวนเป็นเครื่องมือหลักในการตอบโต้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการประเมินต้นทุนและผลประโยชน์ 

ในด้านหนึ่ง การอ่อนค่าหยวนจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาษีสหรัฐที่สูงถึง 145% ต่อภาคการส่งออกซึ่งมีความสำคัญถึง 46% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในไตรมาสล่าสุด

ในอีกด้านหนึ่ง อาจนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนและความผันผวนในตลาดการเงิน โดยสำนักวิจัย Barclays คาดการณ์ว่า หากเลือกใช้นโยบายค่าเงิน หยวนอาจอ่อนค่าลงถึง 9 หยวนต่อดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ 7.3 หยวน คิดเป็นการอ่อนค่าถึง 20% ซึ่งสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับปี 2561 ที่หยวนอ่อนค่าลง 10% เมื่อสหรัฐขึ้นภาษีเพียง 20%

การตัดสินใจของจีนจะขึ้นอยู่กับทางเลือกเชิงนโยบายที่มี โดยหากไม่ลดค่าเงิน จีนอาจต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ถึง 12 ล้านล้านหยวน (1.6 ล้านล้านดอลลาร์) หรือ 8.6% ของ GDP

ตามการคำนวณของสำนักวิจัย Bloomberg ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ การใช้ค่าเงินเป็นเครื่องมือจะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สูง โดยเฉพาะหลังการประชุมโปลิตบูโรในเดือน ก.ค.ที่จะกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปี

หากจีนตัดสินใจลดค่าเงินหยวนอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ แต่จะกระจายตัวไปทั่วระบบการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

(1) การแข่งขันด้านค่าเงิน - ประเทศในเอเชียที่แข่งขันกับจีนในตลาดส่งออกอาจถูกบีบให้ต้องลดค่าเงินตามเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่วงจรการลดค่าเงินที่ทุกฝ่ายต่างแพ้ (race to the bottom) 

(2) ความผันผวนในตลาดการเงิน - เมื่อระบบการเงินโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนจะมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ เงินยูโร หรือ เงินเยน และ

(3) ผลกระทบต่อดอลลาร์สหรัฐ - ดอลลาร์กำลังเผชิญวิกฤติความเชื่อมั่นอยู่แล้ว โดยอ่อนค่าลงกว่า 9% เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ความผันผวนในตลาดค่าเงินจะยิ่งกดดันสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก

สิ่งที่ผิดปกติในตลาดการเงินช่วงเดือนที่ผ่านมาคือ เมื่อตลาดหุ้นตกต่ำ ค่าเงินดอลลาร์กลับลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้นเหมือนในวิกฤติก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติไม่ได้แห่ไปซื้อพันธบัตรสหรัฐเหมือนที่เคยทำ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเงินดอลลาร์

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นด้านความขัดแย้งในนโยบายของทรัมป์ โดยรัฐบาลทรัมป์กำลังพยายามผลักดันข้อตกลง Mar-a-Lago คล้ายกับ Plaza Accord ในปี 2528

 โดยมีเป้าหมายให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ภาษีศุลกากรบีบประเทศอื่นๆ ให้ลงทุนในสหรัฐ ซึ่งเมื่อสถานการณ์เรื่องค่าเงินยังไม่แน่นอนนั้น จะทำให้เงินดอลลาร์และหยวนมีความผันผวนขึ้น

ในช่วงที่ดอลลาร์และหยวนเผชิญความผันผวน ยูโรอาจมีโอกาสเพิ่มบทบาทในระบบการเงินโลก ปัจจุบันยูโรมีสัดส่วน 1/5 ของทุนสำรองธนาคารกลางทั่วโลก เทียบกับดอลลาร์ที่มี 3/5

โดยได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างการเงินของยูโรโซนที่แข็งแกร่งขึ้น การลงทุนในยุโรปที่ง่ายขึ้น สถาบันที่น่าเชื่อถือ และสถานะการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้น ทำให้โอกาสที่เงินยูโรจะเป็นที่ยอมรับก็มีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง อาจทำให้เงินเยนก็มีแนวโน้มที่อาจแข็งค่าขึ้นรุนแรงเช่นกัน

ในส่วนของผลกระทบต่อไทย ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการเผชิญภาษีนำเข้าจากสหรัฐ การทุ่มตลาดของจีน และการอ่อนค่าของหยวนและเงินดอลลาร์ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่

 (1) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดส่งออก - สินค้าจีนที่ถูกลงจากการอ่อนค่าของหยวนจะแข่งขันกับสินค้าไทยทั้งในตลาดสหรัฐฯ และตลาดอื่นๆ

(2) ความผันผวนของค่าเงินบาท - ท่ามกลางสงครามค่าเงิน ค่าเงินบาทอาจเผชิญความผันผวนสูง ส่งผลกระทบต่อการวางแผนธุรกิจและการตัดสินใจลงทุน 

(3) แรงกดดันต่อการส่งออก - คาดว่าการส่งออกของไทยที่เคยขยายตัวได้เกือบ 10% ในไตรมาสแรกจากการเร่งส่งออกก่อนสงครามการค้าจะปะทุ อาจหดตัวถึงระดับสองหลักในไตรมาส 4 ทำให้ทั้งปีหดตัวประมาณ 3% 

(4) การชะลอตัวของเศรษฐกิจ - GDP ไทยปี 2568 อาจขยายตัวเพียง 1.4% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.5%

ในฐานะประเทศขนาดเล็กที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ ไทยมีทางเลือกจำกัดในการรับมือกับสงครามค่าเงิน แต่สามารถดำเนินมาตรการสำคัญได้ดังนี้ 

(1) การเร่งเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐ

(2) กระจายความเสี่ยงทางการค้า - เร่งเจรจาการค้ากับพันธมิตรอื่น โดยเฉพาะสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 4 ของไทย

(3) กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ - ไทยควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น และสนับสนุนประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว 

(4) การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน - ธนาคารแห่งประเทศไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท 

(5) ร่วมมือกับประเทศในอาเซียน - ไทยควรร่วมมือกับประเทศในอาเซียน เพื่อกำหนดท่าทีร่วมกันและเสริมความร่วมมือทางการค้าภายในภูมิภาค

กล่าวโดยสรุป การเปลี่ยนจากสงครามการค้าเป็นสงครามค่าเงินกำลังนำโลกเข้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน

โดยมีจีนอาจใช้การอ่อนค่าของหยวนเป็นเครื่องมือตอบโต้ภาษีของทรัมป์ หากเกิดขึ้นจริง ความผันผวนในตลาดการเงินจะกระจายตัวไปทั่วโลก ท้าทายสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก และบีบให้ประเทศที่สามอย่างไทยต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว 

ไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่นทั้งการเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐ กระจายความเสี่ยงทางการค้า การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค 

สงครามการค้าและสงครามค่าเงินกำลังเขย่าระเบียบเศรษฐกิจโลก ผู้บริหารประเทศและภาคธุรกิจ เตรียมรับมือแล้วหรือยัง

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่