รายได้ต้องรู้ก่อนยื่นภาษีบุคคลธรรมดา: การรับให้และการลงทุนต่างประเทศ

รายได้ต้องรู้ก่อนยื่นภาษีบุคคลธรรมดา: การรับให้และการลงทุนต่างประเทศ

การยื่นภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราไม่มีปัญหาด้านกฎหมายและภาษี แต่ยังเป็นการช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น อย่าลืมตรวจสอบรายได้ทุกประเภทที่เราได้รับในปีที่ผ่านมาและเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนกำหนดยื่นภาษี ซึ่งกำหนดการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาช่องทางปกติ คือ ภายใน 31 มีนาคม 2568 และกำหนดการยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์เน็ตสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2568

ในช่วงต้นปีเช่นนี้ หลายคนคงเริ่มจัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/ ภ.ง.ด.91) ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญของผู้มีรายได้ทุกคน นอกจากรายได้ประจำที่เราได้รับจากงานประจำหรือธุรกิจแล้ว ยังมีรายได้บางประเภทที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญในการคำนวณภาษี เช่น รายได้จากการรับให้และรายได้จากการลงทุนต่างประเทศ จะเห็นได้ว่า รายได้ในกลุ่มนี้มักถูกละเลยหรือหลงลืม เนื่องจากหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าไม่ต้องแจ้งต่อกรมสรรพากรหรือบางครั้งอาจลืมตรวจสอบให้รอบคอบ เช่น รายได้จากการรับให้ที่เกิดจากการโอนทรัพย์สินระหว่างบุคคลในครอบครัว หรือกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศที่บางคนอาจคิดว่าไม่เข้าข่ายการเสียภาษีในประเทศไทย อาจส่งผลให้การยื่นภาษีไม่ครบถ้วนและเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบย้อนหลัง ดังนั้น จึงควรศึกษาเงื่อนไขและแนวทางการคำนวณภาษีในส่วนนี้อย่างละเอียดหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

โดยบทความนี้จะขออธิบายหลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งแนะแนวทางเบื้องต้น เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครบถ้วน อันเป็นประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการยื่นภาษีได้อย่างมั่นใจ

1. เงินได้จากการรับให้

1. กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ (เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโดฯ เป็นต้น) 

ผู้ที่โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทน ได้แก่ บิดาและหรือมารดาผู้โอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้ในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ต่อบุตรหนึ่งคนตลอดปีภาษี 

กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ ผู้ที่โอนเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม ณ สำนักงานที่ดิน ในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เฉพาะส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท โดยมีสิทธิเลือกไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้พึงประเมินอื่นอีกก็ได้ (Final Tax) หรือจะนำไปรวมกับเงินได้อื่นเพื่อคำนวณภาษีตามปกติก็ได้  

2. กรณีการให้สังหาริมทรัพย์ (เช่น เงินสด ทองคำ รถยนต์ เป็นต้น) 

ผู้ได้รับเงินได้จากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้ในส่วนที่เกินกว่า 20 ล้านบาทในแต่ละปีภาษี

ผู้ได้รับเงินได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีจากบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้ส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาท ในแต่ละปีภาษี 

กรณีการให้สังหาริมทรัพย์ ผู้ได้รับเงินได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทหรือ 10 ล้านบาทแล้วแต่กรณี โดยมีสิทธิเลือกไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้พึงประเมินอื่นอีกก็ได้ (Final Tax) หรือจะนำไปรวมกับเงินได้อื่นเพื่อคำนวณภาษีตามปกติก็ได้ 

2. เงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ

ปัจจุบันการลงทุนในต่างประเทศได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมในต่างประเทศและได้รับรายได้จากการลงทุนไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย เงินปันผล หรือกำไรจากการขายสินทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ใหม่ของกรมสรรพากร (มาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.161/2566 และ ป.162/2566) โดยเงินได้พึงประเมินที่เกิดจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เช่น หากเรามีการไปลงทุนในต่างประเทศและได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล ดอกเบี้ย หรือ Capital Gain กรณีที่อยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ 180 วันขึ้นไปในปีภาษีที่เงินได้พึงประเมินเกิดขึ้น (ตามปีปฏิทิน) หากมีการนำเงินได้ดังกล่าวกลับเข้ามาในประเทศไทยก็จะต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษีที่ได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทย

Key takeaway เตรียมตัวก่อนยื่นภาษี

1. รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) และเอกสารการลงทุนในต่างประเทศที่นักลงทุนควรเก็บบันทึกหลักฐานไว้ (วันที่ซื้อ ราคาซื้อ และจำนวนซื้อ รวมถึงวันที่ขาย ราคาขาย และจำนวนขาย)

2. ตรวจสอบเงื่อนไขและข้อยกเว้นของรายได้แต่ละประเภท เพื่อให้มั่นใจว่าเราได้ยื่นแบบถูกต้องตามกฎหมาย

3. ใช้ระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร ผ่านระบบ Digital MyTax https://efiling.rd.go.th/rd-efiling-web/authen/ONE เป็นการรวมบริการด้านภาษีในรูปแบบ One Portal ช่วยในการกรอกข้อมูลและยื่นแบบภาษีฯ 

การยื่นภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราไม่มีปัญหาด้านกฎหมายและภาษี แต่ยังเป็นการช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น อย่าลืมตรวจสอบรายได้ทุกประเภทที่เราได้รับในปีที่ผ่านมาและเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนกำหนดยื่นภาษี ซึ่งกำหนดการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาช่องทางปกติ คือ ภายใน 31 มีนาคม 2568 และกำหนดการยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์เน็ตสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2568