“บยส. วตท. วปอ….”

หลักสูตรผู้บริหารที่มีอยู่มากมายในขณะนี้ น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ดี เพราะบ่งชี้ว่าเราเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้

แต่กลับมีข้อวิจารณ์ว่า หลักสูตรเหล่านี้นำไปสู่การสร้างความสนิทสนม ของข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ ทำให้มีโอกาสหาประโยชน์ส่วนตน หรือสร้างข้อได้เปรียบต่างๆให้กับพวกพ้อง รวมทั้งอาจนำไปสู่การคอรัปชั่นด้วย

ล่าสุด ผู้พิพากษา 2 ท่าน ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกา ขอให้ยกเลิกหลักสูตร บยส. และไม่ให้ส่งผู้พิพากษาไปเรียนในหลักสูตรอื่น เช่น วตท. หรือ วปอ. ด้วย

การได้รู้จักบุคคลจากวงการต่างๆ และได้ปฏิสัมพันธ์คบหาสมาคมกัน ความจริงก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และไม่มีอะไรผิด แม้ในการประชุมระดับนานาชาติ ก็ยังมีช่วงเวลา “Networking Session“ เพื่อให้บุคคลได้มีโอกาสรู้จักกัน แลกเปลี่ยนนามบัตร และโอภาปราศรัย เพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์ ที่อาจเป็นประโยชน์ของแต่ละฝ่ายในอนาคต

แต่ในความสัมพันธ์ของมนุษย์เรานั้น บางครั้งก็นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Connection” ซึ่งในความหมายทั่วไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด จะผิดก็ต่อเมื่อคอนเน็คชั่นนั้น นำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

เช่น การให้สิทธิพิเศษกับเพื่อนฝูงการให้ข่าวสารข้อมูลภายในการส่งเสริมและแต่งตั้งบุคคลเฉพาะที่อยู่ในเครือข่ายของตนเองการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนในรูปแบบต่างๆและอาจเลยไปจนถึงการคอรัปชั่นเป็นต้น

ตัวอย่างหนึ่ง ที่มักถูกหยิบยกว่าเป็นคอนเน็คชั่นที่ก่อให้เกิดปัญหา ก็คือการไปเรียนหลักสูตรระยะยาว ซึ่งเรียนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน จนกลายเป็น “เพื่อนพ้องน้องพี่”แล้วอาจนำไปสู่พฤติกรรมดังกล่าวได้

ความจริง ทั้ง Networking และ Connection เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่น่าจะเป็นเพราะ “วัฒนธรรม” ของไทย (และประเทศอื่นในเอเชียด้วย) ที่กลายเป็น “จุดเปราะบาง” ทำให้ความสนิทสนมที่เกิดขึ้น ถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม

แต่จะว่าไป คนมีอำนาจที่ไม่รู้จักพอเพียง และมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แม้ไม่ได้มาเรียนหลักสูตรเหล่านี้ เขาก็คงหาวิธีคอรัปชั่นได้อยู่แล้ว เพียงแต่การมาเรียนหลักสูตร ทำให้มีคอนเน็คชั่นมากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้เขามากขึ้นเท่านั้นเอง

ผมเชื่อว่าหลักสูตรระดับสูงทุกแห่ง ต่างก็เน้นองค์ความรู้ และได้สรรหาวิทยากรระดับดีเยี่ยม เพียงแต่ผู้เข้าอบรมบางคน ไม่ได้มุ่งเข้าไปเพื่อหาความรู้ แต่เพื่อหาคอนเนคชั่นเป็นหลัก บางคนถึงขนาดเล็งไว้เลยว่า อยากรู้จักใคร และควรสมัครเรียนรุ่นไหน เป็นต้น

ถ้าหากไปเรียนอย่างจริงจัง ผมมั่นใจว่าเนื้อหาของหลักสูตรเหล่านี้ มีประโยชน์มาก ผู้บริหารจะได้เปิดโลกทัศน์กว้างขวาง เรียนรู้วิชาการใหม่ๆ และได้รับฟังมุมมองใหม่ จากบุคคลวิชาชีพอื่นๆ ทำให้มีโอกาสนำแนวคิดดีๆ ไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน

หลักสูตรเหล่านี้ มีการทำกิจกรรมดีๆที่สร้างสรรค์และส่งเสริม CSR หรือ ESG แต่บางทีข่าวการเลี้ยงหรูหรา หรือ คลิปความบันเทิงสุดเหวี่ยงที่หลุดออกมา ก็กลบมิติที่ดีของหลักสูตร ไปอย่างน่าเสียดาย

ที่มีผู้กังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เข้าเรียนบางคนอาจใช้สถานภาพของตน เช่นตำแหน่ง หรือ เงิน เพื่อสร้างบารมี และกลายเป็นคอนเน็คชั่นที่นำไปสู่การทำธุรกรรมที่ไม่โปร่งใส หรือ การตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น

ความจริง อเมริกา อังกฤษ หรือ เยอรมัน ฯลฯ ก็มีหลักสูตรที่ผู้บริหารจากหลายวิชาชีพ เข้าเรียนมาเรียนด้วยกัน เช่นหลักสูตรของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หรือมหาวิทยาลัยดังระดับโลก เช่นหลักสูตร AMP ( Harvard) หรือ SEP ( Stanford) หรือ SEP ( LSE ) เป็นต้น

นอกจากการเรียนด้วยกันแล้วหลักสูตรเหล่านี้ยังจัดให้พักร่วมกันในมหาวิทยาลัยอีกด้วยเพื่อเน้นให้เกิด “สัมพันธภาพระยะยาว” แต่สัมพันธ์ภาพหรือคอนเน็คชั่นของเขา มิได้นำไปสู่ปัญหาอย่างที่เรากังวลมากนักเพราะสังคมเขามีกฎเกณฑ์กติกาและบทลงโทษ ที่ค่อนข้างรัดกุมและชัดเจน

ตัวอย่างเช่นการ “ล็อบบี้” ซึ่งผมเชื่อว่าคงมีคนที่มีอาชีพล็อบบี้ (Lobbyist) เข้าเรียนหลักสูตรเหล่านี้ด้วย แต่ Lobbyist ก็เป็นอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศพัฒนาแล้ว มีกฎกติกาให้ปฏิบัติ

กล่าวคือ Lobbyist จะต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐ จะต้องรายงานข้อมูลว่ากำลังล็อบบี้ให้กับใคร หน่วยงานใด เรื่องอะไรและใช้เงินในการล็อบบี้เท่าใด เป็นต้น แต่บ้านเรายังไม่มีกฎกติกาชัดเจน และผู้ที่ทำงานลักษณะนี้ ก็เรียนอยู่ในหลักสูตรต่างๆด้วย

การยกเลิกหลักสูตรเหล่านี้ น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่การที่ผู้พิพากษาทั้งสองท่านได้ หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ดีแล้วครับผู้บริหารหลักสูตร น่าจะถือเป็นจังหวะดี ที่จะได้ทบทวนแนวทางกันอีกสักครั้ง

เพื่อดูว่าควรมีกฎกติกาอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง นโยบายและวิธีการรับคนเข้าเรียน หรือการเปิดเผยข้อมูล ควรเป็นเช่นใด การกำหนดพฤติกรรมที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ (Code of Conduct) ของผู้เรียน ฯลฯ รวมทั้งหาวิธีการว่าทำอย่างไร พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด 

แม้กระทั่งเพิ่มหัวข้อ “จริยธรรมของนักบริหาร” เข้าไปในทุกหลักสูตร ให้เป็น “วิชาบังคับ”

ถ้าขาดเรียนหัวข้อนี้ จะไม่ได้รับวุฒิบัตร ก็น่าจะทำได้มิใช่หรือ?

การปรับวิธีคิดให้เรียนเพื่อหาความรู้ ไม่ใช่แย่งกันเข้าไปเรียนเพียงเพื่อ “หาคอนเน็คชั่น”  คงเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ต้องพยายามทำ แต่ที่จะได้ผลมากกว่า คือการคัดสรรคนเรียนอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นเพื่อให้มั่นใจว่าได้ “คนคิดดี”  เข้ามาเรียน ครับ

แนวทางปรับปรุงมีเยอะ ผมไม่มีพื้นที่พอจะนำเสนอ แต่เชื่อว่าคงไม่ยากสำหรับสติปัญญาอันเป็นเลิศ ของผู้บริหารหลักสูตรเหล่านี้หรอกครับ