ยุคทองของอเมริกา

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของนโยบายทรัมป์เป็นอย่างไรนั้น สำนักวิจัยสำคัญ ๆ เช่น IMF และ Goldman Sachs มองตรงกันว่า นโยบายเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อขึ้น

ในสุนทรพจน์สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47 ประกาศว่า “ยุคทองของอเมริกา” กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเตรียมออกคำสั่งบริหารชุดใหญ่เพื่อปฏิรูปประเทศในทุกมิติ ในสุนทรพจน์ความยาวกว่า 45 นาที ทรัมป์เน้นย้ำถึงการ “ปฏิวัติด้วยสามัญสำนึก” ที่จะนำพาประเทศกลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยประกาศมาตรการสำคัญหลายประการที่จะเริ่มดำเนินการทันทีในวันแรกของการบริหาร ซึ่งสามารถสรุปได้ 6 ประการ

หนึ่ง ประกาศภาวะฉุกเฉินที่ชายแดนใต้และเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ โดยประกาศใช้กฎหมาย Alien Enemies Act of 1798 เพื่อดำเนินการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ และการประกาศให้กลุ่มคาร์เทลยาเสพติดเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ 

สอง จัดตั้ง External Revenue Service เพื่อจัดเก็บภาษีศุลกากร 

สาม จัดตั้งกระทรวงประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล 

สี่ ประกาศนโยบาย Pax Trumpiana หรือแนวนโยบายการต่างประเทศแบบทรัมป์ที่คาดเดาไม่ได้ และบ้าบิ่น (madman theory) และ การเจรจาต่อรองแบบนักธุรกิจ เช่น การหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในกาซา และแผนทวงคืนคลองปานามา 

ห้า ยกเลิก Green New Deal หรือนโยบายสิ่งแวดล้อมสมัยไบเดน และฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่ง และ 

หก ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานและนโยบายขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิล (drill, baby, drill) เพื่อทำให้อุตสาหกรรมพลังงานสหรัฐกลับมาแข็งแกร่งและลดเงินเฟ้อผ่านการทำให้ราคาพลังงานถูกลง

ในส่วนของผลกระทบต่อเศรษฐกิจของนโยบายทรัมป์เป็นอย่างไรนั้น สำนักวิจัยสำคัญ ๆ เช่น IMF และ Goldman Sachs มองตรงกันว่า นโยบายเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อขึ้น โดย IMF คาดว่า การกีดกันทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงสูงสุดได้ถึง -0.8% (p.p.) ในปี 2025 และรุนแรงขึ้นในปี 2026 ก่อนจะลดลง ขณะที่ Goldman Sachs มองว่า ศก. จะลดลง 1% ขณะที่เงินเฟ้อพุ่งขึ้น 3% ในกรณีเลวร้าย (ขึ้นภาษี 10% กับทั่วโลก) แต่ในกรณีฐาน (ขึ้นภาษีจีน 20% และภาษีรถยนต์กับยุโรป) เงินเฟ้อจะขึ้นประมาณ 0.5% แต่เศรษฐกิจไม่ได้ชะลออย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ IMF มองว่า หากทรัมป์ทำนโยบายการค้าทันที สหรัฐจะได้รับผลมากที่สุดผ่านเศรษฐกิจที่ชะลอและเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น เราจึงมองว่า รัฐบาลทรัมป์น่าจะทำนโยบายเศรษฐกิจทีละขั้น โดยครึ่งปีแรก อาจเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมัน พร้อม ๆ กับทำให้เร่งลดภาษีนิติบุคคล และค่อยประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศอื่น ๆ หลังจากลดภาษีนิติบุคคลได้แล้ว 

ด้วยสมมุติฐานดังกล่าว ทำให้ในฝั่งนโยบายการเงิน เราคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยแบบ Front-load (ลดอย่างรวดเร็ว) เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเมื่อพิจารณาจากภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่แรงกดดันเงินเฟ้อฝั่งการใช้จ่าย (Demand-pull inflation) ลดลง ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางชะลอลง (วัดจากยอดค้าปลีก) ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบมากขึ้น เราจึงยังยืนมุมมองว่า Fed จะสามารถลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เช่นเดียวกับ ECB

ในส่วนของผลของทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐต่อผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและอัตราแลกเปลี่ยน เรามองว่า (1) ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นน่าจะทรงอยู่ในระดับใกล้ปัจจุบัน (โดยล่าสุด ผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี อยู่ที่ 4.28%) (2) ผลตอบแทนระยะยาว (10 ปี) มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ตามการขาดดุลงบประมาณและความกังวลเงินเฟ้อ (แต่ไม่น่าจะขึ้นเกิน 4.9%) จากความเสี่ยงนโยบายและภูมิรัฐศาสตร์ที่มากขึ้น (3) ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าจะแข็งอยู่ได้นานนัก จากแนวนโยบายของทรัมป์ที่ไม่ชอบให้ดอลลาร์แข็งค่า (4) เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากปัจจุบันไม่มากนัก จากนโยบายการเงินสหรัฐและไทยที่น่าจะลดดอกเบี้ยใกล้เคียงกัน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะลดดอกเบี้ยได้มากกว่า Fed เล็กน้อย จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวแรงในครึ่งปีหลัง

ด้วยภาพดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจและการลงทุนของไทยผันผวนมากขึ้น ทั้งจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ และจากปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังมีแนวโน้มเปราะบางจากการขาดความเชื่อมั่นด้านการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ อีกทั้งกระแสเงินของนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีสัญญาณกลับมาซื้อหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ 

ดังนั้นฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้ (1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการบริโภคจะเริ่มมีผลบังคับใช้ เช่น นำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุในวันที่ 27 ม.ค. นี้ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AOT) กลุ่มเนื้อสัตว์ (CPF BTG) (2) หุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 แนะนำ AP KTB BBL PTT และ (3) หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไรที่คาดจะเติบโตดี อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA AWC AU

ขอให้นักลงทุนโชคดี

- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX

- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน

โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm

- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher

#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ

*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้