สินทรัพย์ดิจิทัลและการเสียภาษีในประเทศไทย

สินทรัพย์ดิจิทัลและการเสียภาษีในประเทศไทย

การลงทุนคริปโทฯ ต้องรู้ภาษี! เปิดหลักเกณฑ์จัดเก็บ วิธีคำนวณต้นทุน สิทธิยกเว้นภาษีกำไรเทรด 5 ปีเต็ม พร้อมสรุปแนวทางผ่อนปรนจากสรรพากรที่นักลงทุนไทยห้ามพลาด

ปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของคริปโทเคอร์เรนซีรวมถึงโทเคนดิจิทัล บทความนี้จึงขอสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การลงทุนในคริปโทฯ ที่นักลงทุนควรรู้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารภาษีอย่างเหมาะสม

กฎหมายการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

ภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยอยู่ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี คือ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดให้รายได้ที่เกิดจากสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นรายได้ประเภทหนึ่งที่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับดอกเบี้ย เงินปันผล หรือผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่น

ตัวอย่างรายการที่ถือเป็นรายได้ที่ต้องนำมาเสียภาษี เช่น

• กำไรจากการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการขายเพื่อแลกเป็นเงินสด หรือการแลกเหรียญจากสกุลหนึ่งไปยังอีกสกุลหนึ่ง

• รายได้จากการขุด (Mining) ภาระภาษีจะเกิดขึ้นเมื่อมีการนำเหรียญที่ขุดได้ออกไปจำหน่าย

• เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล เช่น เงินปันผล หรือส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ

การคำนวณกำไรเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

กรมสรรพากรได้มีการจัดทำ “คู่มือคำแนะนำการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล” ที่ได้อธิบายรายละเอียดและวิธีคำนวณไว้ โดยหลักการคำนวณกำไรจะถูกคำนวณพิจารณาเป็นรายธุรกรรมเมื่อเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยน “ราคาขาย หัก ต้นทุน (แยกตามรายธุรกรรม) = กำไรที่ต้องเสียภาษี” ผู้เสียภาษีจึงควรต้องทำความเข้าใจวิธีการรับรู้ราคาขาย การคำนวณต้นทุนขายของแต่ละธุรกรรม(ปรับปรุงครั้งที่ 1 เมื่อ 1 มีนาคม 2565 : https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/lorkhor/newsbanner/2022/03/Instructions_for_paying_personal_income_tax.pdf)

อัปเดตกฎหมายล่าสุด: กรณีกำไรจากการขายคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลได้กระทำในศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange), กระทำผ่านนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) หรือที่ได้โอนให้แก่ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เฉพาะกำไรจากการขาย (Capital Gains) ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2572 (รวมเป็นเวลา 5 ปี) (อ้างอิง: กฎกระทรวง ฉบับที่ 399 (พ.ศ. 2568))

สำหรับการคำนวณต้นทุนใช้วิธีมาตรฐานการบัญชีรับรอง สามารถคำนวณได้ 2 วิธี คือ วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) และ วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)

1. วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO):

ถือว่าสินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น เหรียญ Bitcoin) ที่ซื้อเข้ามาก่อนจะถูกขายออกก่อนตามลำดับเวลา เมื่อต้องคำนวณกำไรหรือขาดทุน จะใช้ต้นทุนของสินทรัพย์ที่ซื้อเป็นลำดับแรกสุดก่อน ส่วนสินทรัพย์ที่เหลือ ณ วันสิ้นปีจะถือเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อภายหลัง

2. วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost):

การคำนวณต้นทุนคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัล แต่ละประเภทจะกำหนดจากการถัวเฉลี่ยต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลประเภท เดียวกัน ณ วันต้นปีกับต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมาในระหว่างปีซึ่งคำนวณทุกครั้งที่ซื้อคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัล

แนวทางผ่อนปรนจากกรมสรรพากร

กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางผ่อนปรนสำหรับผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีสาระสำคัญดังนี้

• การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา-หากมีทั้งกำไรและขาดทุนจากการเทรด สามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ภายในปีภาษีเดียวกัน แต่ต้องเป็นธุรกรรมที่ทำผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น

• ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (15%)- โดยหลัก ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อทราบว่าผู้รับเงินคือใคร ทราบจำนวนกำไรที่แน่นอนของผู้รับเงิน อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่าน Exchange ซึ่งเป็นระบบจับคู่ซื้อขายอัตโนมัติ ผู้ซื้อไม่ทราบตัวตนของผู้ขายและไม่ทราบจำนวนกำไรที่แท้จริง จึง “ไม่ครบองค์ประกอบของการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ทำให้ ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ เงื่อนไขนี้ใช้ได้เฉพาะ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. (อ้างอิงจาก ข่าวกรมสรรพากร เลขที่ ปชส.16/2565 ลงวันที่ 28 มกราคม 2565)

หมายเหตุ: ภาระภาษีที่กล่าวถึงในบทความฉบับนี้ เป็นการกล่าวถึงเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเท่านั้น