หุ้นปั่น VS แชร์ลูกโซ่ เหยื่อ VS นักล่า

หุ้นปั่น VS แชร์ลูกโซ่  เหยื่อ VS นักล่า

“Talk of the town” หรือเรื่องราวที่ “คนพูดถึงกันทั้งเมือง” ในช่วงนี้ก็คือเรื่องคดี Forex3D ที่เป็น “แชร์ลูกโซ่” วงใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับดาราภาพยนตร์ชื่อดังจำนวนมาก

  และในช่วงนี้  “เจ้ามือ” ซึ่งอาจจะรวมถึงดาราถูกจับหรือกำลังถูกเรียกตัวเพื่อส่งฟ้องศาล  ความเสียหายที่เกิดขึ้นนับเป็นเงินหลายพันล้านบาท  และผู้ที่เกี่ยวข้องที่เป็นเหยื่อนับเป็นหมื่นคน  กรณี Forex3D นั้นเกิดขึ้นมาไม่น้อยกว่า 2-3 ปีแล้ว  แต่เพิ่งจะถูกจับเมื่อ 2-3 เดือนนี้—หลังจากที่แชร์ล่มและมีคนที่เข้าไปเล่นและ “ขาดทุน” ร้องเรียนกับตำรวจว่า “ถูกโกง”

 เรื่องของแชร์ลูกโซ่นั้นมีมาตั้งแต่ปี 1920 หรือประมาณ 100 ปีแล้ว  คนแรกที่ทำและดังมากจนชื่อของเขากลายเป็นชื่อของแชร์ลูกโซ่แบบนี้ก็คือคนอเมริกันชื่อนาย Charles Ponzi  โดยที่เขาตั้งบริษัทชื่อ “Securities Exchange Company” หรือ “บริษัทตลาดหลักทรัพย์” ขึ้นมาเพื่อที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายคูปองการส่งไปรษณีย์ระหว่างประเทศ 

ซึ่งตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในเทรนด์ของการเก็งกำไรสูงมากจนคนรู้สึกว่ามันเป็น  “ธุรกิจแห่งอนาคต” ที่คนทันสมัยและหัวก้าวหน้าอยากลงทุนด้วย  โดยที่ Ponzi สัญญาว่าถ้าใครลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 50% ในเวลา 45 วันหรือ 100% ในเวลา 90 วัน  ผลก็คือ  มีคนเชื่อและเข้าร่วมลงทุนจำนวนมาก

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  พอนซี่ไม่ได้ลงทุนในคูปองอะไรนั่นหรอก  เขาเพียงแต่รับเงินลงทุนของคนลงทุนคนแรก  และจ่ายผลตอบแทนด้วยเงินลงทุนของนักลงทุนคนที่สอง  และก็จ่ายเงินให้คนที่สองด้วยเงินของคนที่สามและก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  ยิ่งมีคนมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เขาก็สามารถจ่ายเงินผลตอบแทนให้กับคนที่ลงทุนได้ตามสัญญา 

แต่เมื่อใดก็ตามที่คนใหม่เข้ามาลงทุนน้อยลงหรือเริ่มหยุดลง  ซึ่งจะทำให้คนเก่าไม่ได้รับเงินผลตอบแทน  “แชร์” ก็ล้ม  คนเสียหายมากที่สุดก็คือคนที่เข้าทีหลัง  คนที่เข้ามาก่อนและออกไปแล้วอาจจะได้กำไร  แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุนเพราะออกไม่ทัน  คนที่กำไรมากที่สุดก็คือ  “เจ้ามือ” ที่มักจะเชิดเงินหนีหรือถูกตำรวจจับไปแล้ว

แชร์ลูกโซ่ไม่ได้หมดไปหลังจากพอนซี่แต่กลับเติบโตขึ้นและกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่คนมีเงินหรือรวยขึ้นและชอบเก็งกำไรในสิ่งที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีมากแบบง่าย ๆ  โดยเฉพาะในยามที่ประเทศหรือสังคมกำลังอยู่ในภาวะที่มีการเก็งกำไรสูงในอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมบางอย่าง  ตัวอย่างที่ประเทศไทยก็มีกรณีแรกคือ  “แชร์แม่ชม้อย” ที่เกิดขึ้นในยามที่โลกเกิดวิกฤติน้ำมันครั้งแรกในปี 1973 หรือ 2516

ซึ่งทำให้น้ำมันมีราคาแพงมาก และการค้าขายน้ำมันน่าจะทำกำไรได้มหาศาลหรืออย่างน้อยคนก็เชื่ออย่างนั้น  ซึ่งทำให้  “แม่ชม้อย” จัดตั้งบริษัทชื่อ “ปิโตรเลียม แอนด์ มารีนเซอร์วิส จำกัด” และเริ่มชักชวนให้คนมาลงทุนโดยสัญญาให้ผลตอบแทนเดือนละ 6.5% หรือ 78% ต่อปี ในปี 2520 และต่อเนื่องไปถึงปี 2528

แชร์แม่ชม้อย อยู่ได้นานและดึงดูดคนจำนวนมากถึงกว่า 13,000 คน และเงินที่เสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะในสมัยนั้นคนทั่วไปและอาจจะรวมถึงเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้จักแชร์ลูกโซ่คืออะไรและทำงานอย่างไรรวมถึงกฎหมายก็อาจจะยังไม่รองรับ  อย่างไรก็ตาม  ชม้อยก็ถูกจับและติดคุกฐานฉ้อโกงประชาชนร่วมกับพวกอีก 7 คน เป็นเวลาคนละกว่า 100,000 ปี เพราะมีผู้เสียหายมาก  แต่ตามตามกฎหมายก็ถูกจำคุกสูงสุดได้แค่ 20 ปี  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากมีการลดโทษ 2 ครั้งในช่วงเวลานั้นทำให้ชม้อยอยู่ในเรือนจำเพียงประมาณ 8 ปีเท่านั้น

แชร์ลูกโซ่ในระยะหลังๆ มีการพัฒนาขึ้นมาก  อานิสงส์จากนวัตกรรมการเงินและการตลาดรูปแบบใหม่ๆที่เกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัดก็คือ การเกิดขึ้นของตลาดหุ้นและตลาดของเงินคริปโท และเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีช่องทางในการลงทุนที่กว้างขวางและรวดเร็วมาก  แค่ “ปลายนิ้ว” และด้วยเงินน้อยนิดซึ่งทำให้คนทั่วๆ  ไปสามารถเข้ามาเล่นได้อย่างสะดวก

ในด้านของนวัตกรรมทางการตลาดเองนั้น  นอกจากการประชาสัมพันธ์ที่ง่ายและเข้าถึงคนจำนวนมากแบบแทบไม่มีต้นทุนแล้ว  ยังมีระบบการตลาดแบบเครือข่ายหลายชั้นหรือที่เรียกว่า MLM คือการที่ใช้ “แม่ทีม” ที่อาจจะเป็นลูกค้าที่มาลงทุนอยู่ก่อนแล้ว  ไปหาลูกค้าใหม่ที่จะเป็น “ลูกทีม”  ซึ่งเมื่อมาลงทุนก็จะทำให้แม่ทีมได้เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนด้วย 

วิธีนี้ได้เปลี่ยนให้คนซื้อผลิตภัณฑ์จำนวนมากกลายเป็น “คนขาย” ที่อาจจะ “ได้กำไร” จากคนที่มาซื้อที่เป็นลูกทีม  และนี่ก็อาจจะเป็นปัญหาให้กับคนจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคนที่เข้าไปเล่นกับธุรกิจแชร์ลูกโซ่  เพราะว่าเมื่อวงแชร์แตก  “แม่ทีม” ก็อาจจะกลายเป็น  “จำเลย” เพราะถือว่าไปหลอกลวงคนให้มาเล่นหรือมาลงทุน  แต่ในเวลาเดียวกัน  พวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่เข้าไปลงทุนและอาจจะเสียหายและน่าจะเป็น “โจทย์”  ประเด็นนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องตัดสิน

นวัตกรรมทางการเงินที่ผมคิดว่ามีปัญหายิ่งกว่าเรื่องของการตลาดก็คือ  การใช้ตลาดหุ้นในการเป็น  “แชร์ลูกโซ่” ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุนหรือมาเล่นหุ้นที่ “ถูกปั่น” หรือถูก “Corner” ให้มีราคาสูงผิดธรรมชาติมาก  ซึ่งคนที่ทำนั้นไม่ต้องเปิดเผยตัวตนหรือถึงคนจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย  บางทีก็อาจจะไม่ผิดศีลธรรมหรือจรรยาบรรณอะไรด้วย  ว่าที่จริงคนที่ทำอาจจะกลายเป็น  “ไอดอล”  นักลงทุน  ที่มีอิทธิพลในการทำราคาหุ้นได้

  สิ่งที่ผมคิดว่าหุ้นปั่นหรือหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์หลาย ๆ  ตัวนั้นก็คือ  “แชร์ลูกโซ่” ก็เพราะว่า

ข้อแรก  หุ้นนั้นก็คือบริษัทที่จะดึงดูดให้คนมาลงทุน  เช่นเดียวกับบริษัทของพอนซี่หรือของชม้อย  และก็มักจะเป็นบริษัทที่ฟังดูแล้วกำลังทำอะไรที่ร้อนแรงเป็น  “ธุรกิจแห่งอนาคต” 

ข้อสอง  อาจจะดูเหมือนว่าบริษัทจดทะเบียนมีพื้นฐานจริง  เพราะมีรายได้และกำไร  บางบริษัทก็มากเป็นร้อยล้านหรือพันล้านบาท  มีธุรกิจจริงและอยู่มานาน  แต่ประเด็นของผมก็คือ  พื้นฐานของบริษัทนั้นอาจจะเป็นเพียง 1 ใน 10 หรือน้อยกว่าเทียบกับราคาตลาดของหุ้น  ซึ่งเท่ากับว่าถึงที่สุดเมื่อฟองสบู่แตก  มูลค่าหุ้นลดลงไป 90% ก็แทบไม่ต่างกับแชร์ลูกโซ่ที่อาจจะลดลง 95 หรือ 99%

ข้อสาม หุ้นปั่นหรือที่ถูกคอร์เนอร์รุนแรงนั้น  แม้ว่าจะไม่ได้สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนแน่นอนแต่ก็สร้างสภาวะที่ดูเหมือนว่าคนเข้าไปเล่นโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ  ที่มีการ “ลากหุ้น” ขึ้นอย่างรุนแรง  ทำให้คนที่ “เข้าไปก่อน” ได้ผลตอบแทนสูงมากและ  “ติดใจ” และก็ดึงดูดให้คนเข้ามาเล่นหุ้นตัวนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เป็น “ลูกโซ่” จนถึงคนท้าย ๆ  ที่หุ้นปั่น “แตก” เพราะ “เจ้ามือ” เทขายและทำกำไรมหาศาลโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย  โดยที่เม็ดเงินที่ได้อาจจะมากกว่าแชร์ลูกโซ่อย่างเทียบกันไม่ได้

 แน่นอนว่าการใช้ตลาดหุ้นและหุ้นบางตัวมาทำเป็นแชร์ลูกโซ่นั้น  มีความซับซ้อนและต้องอาศัยเงินทุนและอาจจะต้องเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดและทำให้คนทำขาดทุนได้  แต่นั่นผมคิดว่าเป็นส่วนน้อยและคุ้มค่ามากที่จะทำ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้าทำหลาย ๆ  ตัวโอกาสพลาดซักตัวหรือสองตัวก็ไม่มีผลอะไรกับผลตอบแทนโดยรวม 

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ  การทำแชร์ลูกโซ่ในตลาดหุ้นนั้น  ถ้าทำเป็นและรู้เรื่องกฎหมาย  แทบจะไม่มีความเสี่ยงในการถูกจับเลย  ยิ่งไปกว่านั้น  คนที่เข้ามาเล่นก็ไม่เคยแจ้งความเอาผิดกับคนทำ  ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะไม่ตระหนัก  ว่าที่จริงพวกเขาหลายคนก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็น “นักล่า” ที่จะเข้าไปหาผลตอบแทนหรือเป็น “เหยื่อ” ที่จะถูกกินหรือขาดทุนในการเล่นแต่ละตัวหรือในวงแชร์แต่ละวง