ต้องเปลี่ยนทั้งระบบ!! บทเรียนแก้ PM 2.5 เกาหลีใต้

ต้องเปลี่ยนทั้งระบบ!! บทเรียนแก้ PM 2.5 เกาหลีใต้

ผมมีโอกาสได้ร่วมวงสนทนา เพื่อระบุประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งต่างก็สะท้อนเสียงไปในทิศทางเดียวกันว่า

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมลำดับต้นๆ ที่ทุกคนให้ความสำคัญ และต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกปี โดยยังไม่สามารถแก้ไขให้ยุติลงได้อย่างแท้จริง ปัญหานี้ยังคงวนเวียนกลับมา เพราะเรายังไม่สามารถจัดการกับรากเหง้าของมันได้

PM 2.5 นั้นมีแหล่งกำเนิดที่หลากหลาย ทั้งจากการจราจรในเขตเมือง อุตสาหกรรม การผลิตพลังงาน รวมถึงกิจกรรมในชนบทอย่างการเผาชีวมวลและตอซังในภาคเกษตร

ซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนเมือง แต่กลับเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ลมพัดพาเอาฝุ่นจากพื้นที่ชนบทเข้าสู่ตัวเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากมองไปยังประเทศเกาหลีใต้ ประเทศที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมร่วมสมัย ไม่นานมานี้ พวกเขาก็เคยประสบกับภาพคุ้นตาในชนบทที่ปกคลุมด้วยควันจากการเผาตอซังในฤดูเก็บเกี่ยว

แนวปฏิบัติเช่นนี้ฝังรากอยู่ในวิถีเกษตรกรรมมายาวนาน ด้วยความเชื่อว่าไฟจะช่วยคืนธาตุอาหารให้แก่ดิน และเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการจัดการเศษพืชปริมาณมหาศาล 

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษากลับชี้ชัดว่าการเผาเหล่านี้คือแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM 2.5 คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และก๊าซพิษอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรง ทั้งมะเร็ง หอบหืด และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ในการแก้ปัญหา รัฐบาลไม่ได้แค่ออกกฎหมายห้ามการเผา แต่เลือกแนวทางที่ซับซ้อนและรอบด้านยิ่งกว่า โดยออกแบบนโยบายที่ผสานกฎหมายที่เข้มงวดเข้ากับระบบแรงจูงใจทางการเงินและการสนับสนุนเทคโนโลยี เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรอย่างถาวร

การลดการเผาในภาคเกษตรของเกาหลีใต้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายที่สำคัญหลายระลอก

เริ่มจากการปรับมาตรฐานคุณภาพอากาศในปี 2561 ที่บังคับให้ทุกภาคส่วน รวมถึงเกษตรกรรม ต้องลดมลพิษอย่างจริงจัง ตามด้วยแผนจัดการฝุ่นละอองตามฤดูกาลในปี 2562 ที่จำกัดการเผาในช่วงมลพิษสูงอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดคือ การประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2563 และการออกกฎหมายรองรับในปีถัดมา ทำให้การลดการเผาไม่ใช่แค่เรื่องฝุ่น

แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวาระแห่งชาติด้าน climate change และเปิดทางสู่นโยบายใหม่ เช่น เกษตรคาร์บอนต่ำ ที่ได้รับแรงสนับสนุนทางการเมืองอย่างชัดเจน

ความมุ่งมั่นของรัฐบาลเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีองค์ประกอบอื่นที่ช่วยเสริมกันทำให้การแก้ไขปัญหาสำเร็จ ทั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และแนวทางหลากหลายที่ผสมผสานระหว่างกฎหมาย มาตรการจูงใจ การบังคับใช้ เทคโนโลยี และการให้ความรู้ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการลดการเผา ทั้งไบโอชาร์ อาหารสัตว์ลดมีเทน และเครื่องจักรสับเศษพืช ช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกที่เป็นไปได้โดยไม่เพิ่มต้นทุน

ขณะเดียวกัน การใช้โดรนตรวจจับการเผา ก็ช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความร่วมมือจากท้องถิ่น เกษตรกร และภาคประชาสังคม ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้มาตรการสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ ความตระหนักของประชาชนต่อปัญหาฝุ่น และแรงหนุนจากผู้บริโภคที่ใส่ใจเกษตรยั่งยืน ยังช่วยหนุนให้มาตรการได้รับการยอมรับในระดับสังคม

จุดเด่นสำคัญของแนวทางเกาหลีใต้คือ การวางกรอบนโยบายแบบบูรณาการ  ไม่แยกการจัดการคุณภาพอากาศออกจากเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การลดการเผาในภาคเกษตรจึงไม่ใช่แค่เพื่อลด PM 2.5 หรือแอมโมเนีย แต่ยังครอบคลุมถึงการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีเทน ไนตรัสออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย มาตรการอย่างการใช้ไบโอชาร์หรือปรับสูตรอาหารสัตว์จึงสร้างประโยชน์ร่วม ทั้งลดมลพิษและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในระบบเกษตรกรรม

การออกแบบนโยบายที่มีเป้าหมายหลายชั้นเช่นนี้ ช่วยเพิ่มแรงหนุนทางการเมือง ขยายฐานความชอบธรรมในการแทรกแซงภาคเกษตร และเปิดช่องให้ดึงแหล่งทุนจากกลไกสากลมาร่วมสนับสนุน 

บทเรียนจากเกาหลีใต้ชี้ให้เห็นว่า การจัดวางเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในกรอบที่กว้าง ชัดเจน และเชื่อมโยงกับเป้าหมายหลากหลาย คือกลยุทธ์สำคัญในการผลักดันนโยบายในสังคมที่ซับซ้อน

สำหรับประเทศไทยที่เผชิญวิกฤติ PM2.5 ซ้ำซากทุกปี โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

บทเรียนจากเกาหลีใต้ชี้ว่า การจัดการการเผาในภาคเกษตรไม่อาจพึ่งเพียงมาตรการ “ห้าม” หรือ “เจอ จับ ปรับ” แต่ต้องเปลี่ยนทั้งระบบ ตั้งแต่ความคิด พฤติกรรม ไปจนถึงโครงสร้างสนับสนุน 

ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งสร้างแรงจูงใจอย่างโปร่งใส ลงทุนในระบบจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร ให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค และพัฒนาโครงการนำร่องในพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างต้นแบบที่ขยายผลได้จริง

ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมการลดการเผากับเป้าหมายด้าน climate change จะเปิดทางสู่แหล่งทุนระหว่างประเทศ และสร้างแรงส่งทางการเมืองและภาคเอกชน การบูรณาการนโยบายระหว่างกระทรวง ท้องถิ่น และเกษตรกรจึงเป็นหัวใจของการผลักดันสู่ระบบปลอดการเผาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การดับไฟเฉพาะฤดูกาล.