ตลาดหุ้นกู้คึกคัก ... ก่อนลงทุนต้องพิจารณาอะไรบ้าง 5 ข้อ

ตลาดหุ้นกู้คึกคัก ... ก่อนลงทุนต้องพิจารณาอะไรบ้าง 5 ข้อ

ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้การลงทุนโดยรวมจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนักไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หรือตราสารทุน

แต่ตลาดหุ้นกู้ในบ้านเรากลับมาคึกคักสะท้อนจากการเร่งออกตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนต่างๆ เพิ่มทางเลือกมากมายให้กับนักลงทุน สาเหตุจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชะลอการลงทุนในปีก่อน หรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 

ทำให้ในไตรมาสแรกมีการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ของภาคเอกชนมากถึง 259,886 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตมากถึง 43.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ในฐานะนักลงทุนทั่วไป การลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะหุ้นกู้น่าจะเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุน โดยวันนี้เราหยิบยก 5 ข้อสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหุ้นกู้เพื่อลงทุนต่อไป

1. ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับปัจจัยหลักๆ เช่น อายุ อุตสาหกรรม และอันดับความน่าเชื่อถือ

แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญลำดับแรก คือ ผลตอบแทนต้องคุ้มกับความเสี่ยงในด้านต่างๆ ในโลกของตราสารหนี้ ผลตอบแทนล้วนแล้วแต่เกิดจากการชดเชยความเสี่ยงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Credit Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) หรือความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) การที่หุ้นกู้เอกชนเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไม่ได้หมายความว่าหุ้นกู้รุ่นนั้นมีความน่าสนใจกว่า หรือดีกว่ารุ่นอื่นๆ แต่อย่างใด 

ดังนั้นก่อนที่จะพิจารณาลงทุน จำเป็นจะต้องพิจารณาผลตอบแทนคาดหวังที่สะท้อนจาก Yield-to-Maturity (YTM) เมื่อเทียบกับปัจจัยหลักต่างๆ โดยเฉพาะ อายุของตราสาร อุตสาหกรรมของผู้ออก และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้รุ่นนั้นๆ (Credit Rating) ให้อย่างครบถ้วน

โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ หรือ Credit Rating นั้น บ่งบอกความสามารถในการชำระหนี้ หรือ โอกาสในการได้รับเงินต้นคืนของตราสารนั้นๆ ซึ่งอันดับความน่าเชื่อถือจะสะท้อนจากหลายๆ ปัจจัย ได้แก่ ลักษณะของบริษัทผู้ออก

แนวโน้มผลประกอบการของผู้ออก โครงสร้างของตราสาร เช่น การมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือ ลำดับการชำระหนี้คืน ข้อตกลงและสัญญาที่ต้องปฏิบัติตามต่างๆ (Covenants) และ แนวโน้มเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

หุ้นกู้ยิ่งอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ หรืออายุยาว ก็จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ดังนั้นเราจะพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ โดยหลักการเบื้องต้นต้องอาศัยลักษณะของการเปรียบเทียบ (Relative Value) กับหุ้นกู้อื่นๆ เผื่อให้สามารถประมาณส่วนต่างผลตอบแทนจากแต่ละปัจจัย จะได้ประเมินถูกว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ และเหมาะสมกับสถานะการลงทุนของเราหรือไม่

2. ประเภทของหุ้นกู้

ก่อนตัดสินใจลงทุน ต้องทำความเข้าใจประเภทของหุ้นกู้ด้วย เนื่องจากหุ้นกู้มีหลากหลายประเภทที่เลือกลงทุน เช่น หุ้นกู้ชนิดที่มีและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Secured Bond / Unsecured Bond) หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Senior / Subordinated Bond) หรือแม้แต่หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายตราสารทุน (Perpetual Bond) ซึ่งแต่ละชนิดก็จะเสนอผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป เพราะระดับของความเสี่ยงและโอกาสในการได้รับเงินต้นคืนแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนต่างๆ (Sustainable Bond หรือ ESG Bond) ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนต่อการมีส่วนต่อความยั่งยืนควบคู่ไปกับการลงทุน

3. กระแสเงินสดและสภาพคล่อง

กระแสเงินสดในที่นี้หมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนจะได้รับในแต่ละงวดจากการถือครองหุ้นกู้ ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจก่อนการลงทุน ว่านักลงทุนจำเป็นจะต้องพึ่งพากระแสเงินสดในส่วนนี้หรือไม่ด้วย เนื่องจากในบางครั้ง กระแสเงินสดจากดอกเบี้ยก็เป็นส่วนจำเป็นสำหรับการใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวันของนักลงทุนหลายๆ คน

หุ้นก็แต่ละชนิด หรือแต่ละอันดับความน่าเชื่อถือก็จะมีสภาพคล่องที่แตกต่างกันไป ในส่วนของสภาพคล่องคือการซื้อขายแลกเปลี่ยนมือระหว่างนักลงทุนในตลาดรอง (Secondary Market) ในบางครั้งหากเราต้องการใช้เงินสดหรือปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน เราอาจจะพิจารณาขายหุ้นกู้ที่ยังไม่หมดอายุออกไปในตลาดรอง ซึ่งในปัจจุบันก็สามารถทำได้สะดวก รวดเร็วและมีต้นทุนที่น้อยลง โดยเฉพาะผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ต่างๆ ในโลกของการเงิน การขายในตลาดรองอาจจะไม่คุ้นเคยสำหรับนักลงทุนหลายๆ คน แต่ก็นับเป็นทางเลือกที่สามารถทำได้

4. กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

หลังจากพิจาณาปัจจัยและความเสี่ยงต่างๆ แล้ว สิ่งถัดไปที่ควรคำนึงถึงคือการกระจายความเสี่ยงในแง่ของ อันดับความน่าเชื่อ อายุ และอุตสาหกรรมของตราสารที่มีในพอร์ต การผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ส่วนใหญ่เป็น Tail Risk ที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นมามาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลให้เกิดความเสียหากมากซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องระมัดระวังและกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม การกระจายความเสี่ยงอย่าลืมคำนึงถึงความสัมพันธ์กับตราสารอื่นๆ ด้วย เช่น ตราสารทุน เนื่องจากการลงทุนทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน

5. หมั่นหาข้อมูล ติดตามภาวะเศรษฐกิจ และแนวโน้มอุตสาหกรรมอย่างสม่ำเสมอ

วัฏจักรของเศรษฐกิจ (Economic Cycle) ส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย ซึ่งการขึ้นลงของดอกเบี้ยก็จะส่งผลต่อผลตอบแทนของหุ้นกู้โดยตรง โดยการคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตจะมีส่วนอย่างมากต่อผลตอบแทนของตราสารหนี้ ทำให้เราจำเป็นจะต้องเข้าใจแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมของผู้ออกหุ้นกู้ก่อนลงทุนด้วย

สุดท้ายนี้ต้องอย่าลืมว่าอันดับความน่าเชื่อถือสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ และก็จะส่งผลต่อราคาของหุ้นกู้โดยตรง ทำให้เรายังคงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากลงทุนไปแล้ว

หมายเหตุ บทวิเคราะห์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานต้นสังกัดแต่อย่างใด