อดีตเคยป่วย...ทำประกันสุขภาพได้หรือไม่

ในสภาวะที่โรคภัยอยู่รอบตัวเราเช่นทุกวันนี้ ทำให้แนวโน้มความต้องการของประชาชนเกี่ยวกับการประกันสุขภาพมีเพิ่มมากขึ้น จะเห็นได้จากการเติบโตของเบี้ยประกันสุขภาพในปี 2564 ที่ผ่านมานั้นมีอัตราการเติบโต 9.63 %
และภาคธุรกิจประกันชีวิตเองยังคาดการณ์ไว้ว่าประกันสุขภาพจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน ด้วยปัจจัยสนับสนุนรอบด้าน โดยเฉพาะประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านการเงินและสุขภาพ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่มีแต่จะปรับตัวสูงขึ้น 8-10% ทุกปี ทำให้ตอนนี้ใครๆ ต่างก็หาประกันสุขภาพหรือประกันโรคร้ายแรงมาไว้เป็นตัวช่วยในการรับมือกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ การทำประกันสุขภาพควรทำตั้งแต่ตอนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี เพราะถ้ามีการเจ็บป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งอยู่และจะมาทำประกันสุขภาพก็อาจส่งผลให้บริษัทประกันปฏิเสธการรับประกันได้
สำหรับในกรณีผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งมาก่อน รวมถึงโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ได้รับการรักษาจนกระทั่งหายเป็นปกติแล้ว อาจกำลังมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในใจว่า “คนที่เคยป่วยแต่หายดีแล้วสามารถทำประกันภัยสุขภาพได้หรือไม่” คำตอบคือ “ทำได้” เพราะในปัจจุบันมีบริษัทประกันภัยที่ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อมาตอบสนองความต้องการให้กับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีโรคประจำตัวสามารถทำประกันสุขภาพได้
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทจะขอข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเพื่อมาประกอบการพิจารณารับประกัน ถ้าผู้เอาประกันภัยมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอะไรเลย การประเมินพิจารณารับประกันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่เคยมีประวัติป่วยเป็นโรคมาก่อนแต่รับการรักษาจนหายดีแล้ว ทางบริษัทประกันภัยอาจมีการขอให้ตรวจสุขภาพเพิ่มเติม ซึ่งในกรณีนี้ถ้าบริษัทประกันภัยรับที่จะให้ความคุ้มครองก็อาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับผู้เอาประกันภัยรายนั้นๆ เช่น
รับประกันภัย และให้ความคุ้มครองแบบปกติ ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย เนื่องจากเอกสารต่าง ๆ และประวัติการรักษาในอดีตของคุณผ่านเกณฑ์การพิจารณา และหายดีแล้วจริง ๆ
รับประกันภัย แต่มีข้อยกเว้นความคุ้มครองบางโรค หรือมีการเพิ่มเบี้ยประกันภัย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ขอสมัครทำประกันเองว่าจะยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ได้หรือไม่
เพียงแต่ต้องมีประวัติการรักษาที่ดี เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง มีการควบคุมอาการของโรคที่เป็นอยู่ได้ดีไม่มีภาวะแทรกซ้อน ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็มีการพัฒนาขึ้นมาก จนสามารถช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรคให้มีความสามารถในการดูแลตัวเองและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้สุขภาพดีขึ้นได้ ซึ่งการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นของผู้เอาประกันภัยนั้นจะเป็นตัวกำหนดเรื่องค่าเบี้ยประกันภัยได้อีกด้วย
บริษัทประกันภัยปฏิเสธการรับประกันภัย ซึ่งข้อนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เพราะร่างกายคุณมีความเสี่ยงเกินกว่าที่บริษัทประกันภัยจะรับประกันภัยได้
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทประกันภัยจะพิจารณารับประกันภัยสุขภาพแล้ว แต่ยังมีระยะรอคอย (WAITING PERIOD) ผู้เอาประกันภัยจะยังไม่สามารถเรียกร้องเงินสินไหมชดเชยได้ทันทีหลังทำประกันภัยสุขภาพ โดยทั่วไประยะเวลารอคอยจะอยู่ที่ 30 – 120 วัน ขึ้นอยู่กับโรคและเงื่อนไขตามที่ระบุอยู่ในกรมธรรม์
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยที่ต้องแถลงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสุขภาพหรือสาระสำคัญอื่นๆ โดยกรอกข้อมูลในใบคำขอตามความเป็นจริงทุกข้อ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการไม่ได้รับความคุ้มครอง/ปฏิเสธความคุ้มครอง
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว อย่ามัวลังเลหรือปล่อยให้ประวัติสุขภาพของคุณมีรอยตำหนิแล้วถึงคิดมีประกันเลย ถึงแม้การมีประกันชีวิต ประกันสุขภาพไม่ใช่เครื่องการันตีว่าจะไม่เจ็บป่วย แต่เป็นสิ่งที่ทำให้อุ่นใจได้ว่าถึงป่วยก็มีตัวช่วยแบ่งเบาภาระด้านการเงินในอนาคตแน่นอน




