หุ้นจีนผ่านพ้นมรสุมแล้วหรือยัง ?

หุ้นจีนผ่านพ้นมรสุมแล้วหรือยัง ?

ตั้งแต่ต้นปี 2022 ตลาดหุ้นจีนถือเป็นตลาดที่ปรับตัวลงมากที่สุดในโลก กดดันจากทั้งศึกนอกและศึกในที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้หุ้นจีนดิ่งลงทำจุดต่ำสุดในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

 โดยหุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ปรับลงแรงสุด (ดัชนี NASDAQ Golden Dragon China Index -41% จาก 31 ธ.ค. 2021 ถึง 14 มี.ค. 2022) ส่วนหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง (HSCEI Index) ก็ปรับลงไม่แพ้กันถึง -25% ด้านหุ้นจีนที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ (CSI 300 Index) แม้ปรับตัวลงน้อยกว่า แต่ก็ติดลบถึงเกือบ -20% (ข้อมูลจาก 31 ธ.ค. 2021 ถึง 15 มี.ค. 2022)

ด้านปัจจัยนอกประเทศ กดดันจากประเด็นที่สหรัฐฯ ขู่จะคว่ำบาตรจีน หากจีนให้ความช่วยเหลือหรือเข้าข้างฝั่งรัสเซียในประเด็นความขัดแย้งกับยูเครน และซ้ำเติมด้วยประเด็นที่หน่วยงานกำกับของสหรัฐฯ ระบุว่าไม่สามารถตรวจสอบงบการเงินของบริษัทจีนได้ ทำให้ความกังวลว่าหุ้นจีนจะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยในประเทศที่รัฐบาลจีนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด ส่วนข้อบังคับควบคุมบริษัทอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ก็ยังออกมากดดันตลาดอยู่เป็นระยะ

แต่แล้ว หุ้นจีนก็ได้สร้างปรากฎการณ์ปรับตัวขึ้นแรงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 นวันที่ 16 มีนาคม ดัชนี HSCEI ปรับขึ้น 12% ส่วน NASDAQ Golden Dragon China Index พุ่งขึ้นกว่า 30% นำโดยหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ อย่าง Alibaba และ Tencent ที่พุ่งขึ้นราว 30-40% ภายในเวลาเพียงหนึ่งวันทำการ หนุนจากที่ทางการจีนออกมาระบุว่าจะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดการเงินจีนและสนับสนุนบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ส่วนด้านตลาดอสังหาฯ จะดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลาย โดยจะหนุนการปล่อยสินเชื่อบ้าน รวมถึงจะยังไม่ขึ้นภาษีอสังหาฯ ในปี 2022

ในปีนี้ รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ที่ 5.5% ถือเป็นเป้าหมายการเติบโตที่ท้าทายมากสำหรับเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เบอร์สองของโลก ทำให้ทางการจีนจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนโยบายการคลัง และการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย โดยมาตรการจะไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่จะเป็นแบบตรงจุด เช่น นโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) รวมถึงการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ตลอดจนการผ่อนคลายสินเชื่อเพื่อการอยู่อาศัย ด้านการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด ทางการจีนระบุว่าจะหลีกเลี่ยงมาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ถึงแม้หุ้นจีนจะตอบรับเชิงบวกต่อท่าทีของทางการที่ผ่อนคลายขึ้น ต่เชื่อว่าภาพรวมการลงทุนในหุ้นจีนจะยังไม่สดใสมากนัก เพราะยังมีอีกหลายความเสี่ยงที่จะเข้ามากดดันตลาดหุ้นจีน ทั้งเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ สูงขึ้น ซึ่งจะไปเพิ่มต้นทุนและลดกำไรของบริษัทจดทะเบียน เพราะบริษัทอาจไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดไปเพิ่มราคาขายแก่ผู้บริโภคได้

นอกจากนั้น นโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันหรือ Common Prosperity จะยังคงมีอยู่ ข้อบังคับเพื่อป้องกันการผูกขาดการค้าจะยังออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม ดังนั้น การทำธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ จะยังคงเผชิญความท้าทาย ซึ่งอาจส่งผลต่อการสร้างรายได้และกำไรในอนาคต และความไม่แน่นอนของบังคับอาจลดความน่าสนใจของหุ้นจีนในสายตานักลงทุนต่างชาติได้

ดังนั้นหัวใจของการลงทุนในหุ้นจีนก็คือ การเลือกหุ้น (Stock selection) โดยเน้นเลือกลงทุนในบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงบริษัทที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการพึ่งพาตนเองสำหรับการผลิตสินค้าสำคัญๆ เช่น Semiconductors นอกจากนั้น การกระจายลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่ได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย Common Prosperity ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้

ทั้งนี้ ด้วยตลาดหุ้นจีนที่มีความผันผวนอย่างมาก สามารถขยับขึ้นหรือลงได้มากกว่า 10% ภายในหนึ่งวันทำการ ดังนั้น การลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ผ่านการกระจายลงทุนในกองทุนรวมโดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้น และคอยติดตามปัจจัยรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงไป จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว