‘Computer Vision’ และ ‘AR’ สู่การสร้างเมืองปลอดภัยอัจฉริยะ

‘Computer Vision’ และ ‘AR’  สู่การสร้างเมืองปลอดภัยอัจฉริยะ

เทคโนโลยีที่จะมาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับสังคมเมืองที่ทุกคนน่าจะคิดถึงอันดับแรก คือ เทคโนโลยี Computer Vision

ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก ด้วยผลกระทบจากโรคระบาด สภาพเศรษฐกิจ และสังคมในด้านต่างๆ ทำให้เรามักจะเห็นรายงานข่าวการก่ออาชญากรรม การปล้นจี้ชิงทรัพย์และอุบัติเหตุเกิดขึ้นจำนวนมากไม่เว้นแต่ละวัน

หากมองถึงนโยบายการสร้างเมืองอัจฉริยะ (smart city) ที่หลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาและสร้างให้เกิดขึ้นจริงอยู่ในขณะนี้ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมต่างๆ มาปรับใช้นั้น 

นอกเหนือจากจุดประสงค์ในเชิงธุรกิจแล้ว ควรจะต้องมีการคำนึงถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดเมืองอัจฉริยะที่ปลอดภัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อาศัยในเมือง

เทคโนโลยีที่จะมาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับสังคมเมืองที่ทุกคนน่าจะคิดถึงอันดับแรก คือ เทคโนโลยี Computer Vision ซึ่งควรส่งเสริมขยายพื้นที่ให้ทุกหน่วยงานนำไปใช้เพื่อคัดกรอง ตรวจสอบ บุคคลเข้า-ออกพื้นที่ต่างๆ 

เช่น นำไปใช้กับคอนโดมิเนียม หมู่บ้าน อาคารสำนักงาน หรือพื้นที่เฉพาะ โดยติดตั้งเข้ากับระบบประตูทางเข้า-ออก เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้พักอาศัยและพนักงาน และในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้าหน้าที่สามารถเรียกดูข้อมูลย้อนหลัง เพื่อตามจับบุคคลต้องสงสัยได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้เทคโนโลยี Computer Vision ยังสามารถนำไปใช้ในการตรวจจับค้นหาวัตถุ บุคคลที่ต้องสงสัย ตรวจจับอาวุธ หรือสภาพการณ์ที่ไม่ปกติ โดยอาศัยความแม่นยำในการวิเคราะห์ของเอไอ ซึ่งระบบจะทำการส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการวางแผนจัดการ รับมือ กู้ภัย หรืออพยพได้อย่างทันท่วงที

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ มีการนำเทคโนโลยี Facial Recognition ไปใช้ตรวจจับใบหน้านักโทษหลบหนี หรือตามหาบุคคลสูญหาญ โดยอาศัยข้อมูลจากฝ่ายอาชญากรรม ข้อมูลโซเชียลมีเดีย ข่าวสาร รวมทั้งข้อมูลประกาศคนหาย ประกอบกับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออื่นๆ นำมารวบรวมเพื่อเพิ่มความแม่นยำให้กับอัลกอริทึมมากขึ้น

ในส่วนของ AR (Augmented Reality) เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชน 

โดยมีรายงานสถิติจาก FBI พบว่า ตั้งแต่ปี 2558 - 2563 มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 9 คนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการยิงปืนเพื่อป้องกันภัยในสถานการณ์ต่างๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ 

กองทัพสหรัฐจึงได้ใช้เทคโนโลยีนี้ติดตั้งเข้ากับแว่นตา ร่วมกับกล้องอินฟราเรด และเทคโนโลยีการจับภาพในตอนกลางคืน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นให้กับตำรวจและทหารในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เห็นเหตุการณ์ชัดขึ้นแม้ในสภาพอากาศย่ำแย่ หมอกควัน หรือพื้นที่แสงน้อย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยให้เจ้าหน้าที่แยกออกได้ชัดเจนระหว่างเจ้าหน้าที่ด้วยกัน ประชาชน และผู้ร้าย สร้างความปลอดภัยและแม่นยำในการระงับเหตุภัยต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ มีการนำเทคโนโลยีแสดงผลบนกระจกหน้ารถ (HUD หรือ Head Up Display) มาใช้กับรถยนต์มากขึ้น ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากกับการนำไปใช้กับรถปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวณและรถตำรวจ 

โดย GPS จะแสดงผลเส้นทางที่ใกล้ที่สุด เพื่อนำทางเจ้าหน้าที่เข้าไประงับเหตุการณ์ได้ทันท่วงที อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ โดยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากถนน หรือผู้ร้ายที่กำลังขับไล่ตามอยู่อีกด้วย

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่า เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจต่างๆ มากมาย และจะดีแค่ไหนหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณานำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่นำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ

เพื่อปิดช่องว่างโอกาสการก่ออาชญากรรม และรับมือเมื่อมีเหตุร้ายได้อย่างตรงจุด ส่วนในอนาคต หากมีการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างความปลอดภัยอย่างแพร่หลาย ก็จะเป็นการปูทางไปสู่การสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นจริงได้ไม่ยากครับ