เปิดรับโอกาสใหม่

เปิดรับโอกาสใหม่

เปิดรับความท้าทายใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไป

ย่างเข้าสู่ปีใหม่ ผมเชื่อว่าผู้อ่าน “Think out of The Box” หลายท่านมองเห็นโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นในปีนี้มากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เราต้องพบเจอกับปัญหาที่ไม่เคยรับมือมาก่อน แต่เราก็ฝ่าฟันมาถึงวันนี้ได้สำเร็จ

แต่กว่าที่จะเอาตัวรอดในวิกฤติครั้งนี้ได้ เราก็ต้องรับมือกับปัญหาสารพัด โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและผู้บริหารระดับกลางที่ต้องเจอแรงกดดันจากครอบครัวและหน้าที่การงานกลายเป็นแซนด์วิชแฟมิลี่ที่ผมเขียนไปแล้ว 7 ประการในตอนก่อน

ต่อกันในประการที่แปดคือ ความคาดหวังจากคนรอบตัว เพราะผู้บริหารระดับกลางในวัยประมาณ 35-45 ปีถือว่าอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ของชีวิตจึงมักได้รับความไว้วางใจให้รับงานสำคัญจากบริษัทที่ทำงานอยู่

รวมไปถึงสมาคม องค์กรต่างๆ ที่มีบทบาทอยู่ นอกเหนือไปจากครอบครัวที่มักมีลูกๆ ที่อยู่ในวัยที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ นั่นแปลว่าเวลาในแต่ละวันนอกจากต้องจัดสรรเพื่อครอบครัว ทั้งครอบครัวของตัวเองและดูแลพ่อแม่ที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา ยังมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารซึ่งมีความกดดันจากงานที่ทำเป็นปกติ รวมไปถึงบทบาทในสมาคมหรือสภาวิชาชีพ และมูลนิธิการกุศลต่างๆ ที่เข้าไปมีส่วนร่วม

ความกดดันที่เกิดขึ้นจึงอาจสะสมมากขึ้นทีละน้อยๆ เพราะงานแต่ละอย่างล้วนมีเป้าหมายที่ต้องทำให้บรรลุ หากสะดุดลงก็ต้องมีคนผิดหวังหรือมีความเสียหายต่อธุรกิจจึงกลายเป็นความรับผิดชอบต่อทุกคนรอบตัว

การรับมือกับปัญหานี้คล้ายคลึงกันเรื่องของภาระรับผิดชอบที่เราต้องรู้จักจัดสรรเวลาและจัดลำดับความสำคัญ แต่ที่ดีที่สุดคือรวบรัดการทำงานให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด 

เช่นเรื่องการประชุม ที่กินเวลาแต่ละวันไปหลายชั่วโมง ลองเปลี่ยนเป็นการ “ยืนประชุม” เพื่อบังคับให้ใช้เวลาสั้นที่สุดเพื่อจะสรุปเรื่องต่างๆ น่าจะช่วยให้ใช้เวลากับการประชุมน้อยลงและดีต่อสุขภาพด้วยพร้อมๆ กัน

ประการที่เก้า จากภาระรับผิดชอบที่มากขึ้น จนทำให้เราต้องวิ่งวนไประหว่างการดูแลครอบครัว งานประจำที่ทำ และงานการกุศล สมาคมต่างๆ ฯลฯ แม้จะดูสับสนวุ่นวายแต่หลายคนกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในช่วงอายุนี้

ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งแค่ไหน เข้าสังคมได้ดีแค่ไหน แต่ความรู้สึกอ้างว้างอาจเกิดขึ้นได้เสมอเมื่ออยู่เงียบๆ คนเดียวเพราะความรู้สึกว่าเวลาส่วนใหญ่นั้นเป็นการทำเพื่อผู้อื่น เมื่อได้อยู่คนเดียวจึงไม่อาจห้ามความรู้สึกโดดเดี่ยวเอาไว้ได้

ทางออกจึงอยู่ที่การนั่งสมาธิเมื่อมีเวลาว่าง นอกจากเป็นการผ่อนคลายแล้วยังทำให้เรามีจิตใจที่เงียบสงบมากขึ้น เมื่อทำเป็นประจำก็จะเกิดสติมีสมาธิอยู่กับตัวตลอดเวลา ทำให้เรามีความคิดเชิงบวกมากขึ้น ยิ่งคิดบวกก็ยิ่งทำให้เราลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงด้วยเช่นกัน

ประการที่สิบ บทสรุปจากทุกข้อข้างต้นก่อให้เกิดเป็นแซนด์วิชแฟมิลี่ ที่ถูกกดดันจากทั้งครอบครัว พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามา กับครอบครัวใหม่ของตัวเอง และหน้าที่การงานทั้งธุรกิจและงานการกุศล แม้จะทำด้วยความเต็มใจยินดี แต่ลึกๆ เราอาจรู้สึกอึดอัดจากภาระหน้าที่และความกดดันมากมายในแต่ละวัน

บางครั้งเราจึงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะในหัวมีแต่เรื่องภาระรับผิดชอบเต็มไปหมด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติของช่วงชีวิตนี้ และภาระหน้าที่เหล่านี้ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทำสิ่งต่างๆ เช่นดูแลพ่อแม่ ได้ใส่ใจเพื่อนร่วมงาน ได้โอกาสตอบแทนสังคม ฯลฯ

มุมมองต่อชีวิตที่เป็นบวกจึงสำคัญมากในช่วงวัยนี้ เพราะแทนที่จะมองแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเราจะเห็นเป็นความพึงพอใจในชีวิตที่มีโอกาสได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคบ้างแต่เราก็จะผ่านมันไปได้เสมอ

เช่นเดียวกับปี 2565 นี้ที่ผมเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะเริ่มคลี่คลายลง และเราก็จะเปิดรับความท้าทายใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด