ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาพการลงทุนในปี 2565

ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาพการลงทุนในปี 2565

     หากเรานับตั้งแต่ต้นปี 2564 SET Index ได้ปรับตัวขึ้นราว 11% ท่ามกลางความไม่แน่นอนในด้านการของการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจจากการกลับมาระบาดของไวรัสโควิด-19สายพันธ์เดลตาที่ต้องทำให้กลับไปใช้มาตรการ lockdown อีกครั้ง

ในโอกาสที่ใกล้จะสิ้นปีแล้วก็ถือเป็นโอกาส ที่ดีที่เราจะย้อนกลับไปดูว่าภาพการลงทุนนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน และในปีหน้านั้นจะมีปัจจัยอะไรบ้างที่เราจะต้องจับตาเป็นพิเศษ

ปี 2564 นับว่าเป็นปีที่ท้าทายกับเศรษฐกิจไทยไปไม่น้อยกว่าปีก่อนหน้าเลย โดยเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า ช่วงสิ้นปี 2563 ก่อนวิกฤติโควิด-19 หลังจากที่เราต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาระบาดของไวรัสโควิด-19ระลอกใหม่ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทย ไม่สามารถกลับไปเติบโตได้อย่างที่เคยคาดการณ์กันไว้ สาเหตุหลักเลยนั้น คงหนีไม่พ้นความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรชูโรงมาโดยตลอดยังไม่สามารถที่จะกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

แม้ว่าเรา จะเห็นพัฒนาการด้านวัคซีนที่สามารถนำมาใช้เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดได้ก็ตาม แต่ด้วยความสามารถในการฉีดวัคซีนในแต่ละประเทศนั้นต่างกันก็ส่งผลให้การเปิดเมืองให้นักท่องเที่ยวเดินทางข้ามประเทศนั้นเป็นไปได้ยาก อีกทั้งการเกิดไวรัสสายพันธ์ใหม่และการระบาดในพื้นที่ก็กระทบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเช่นเดียวกันแม้ว่าตัวเอกอย่างภาคการท่องเที่ยวนั้นจะยังคงได้รับความท้าทาย แต่เครื่องจักรดั้งเดิมอย่างภาคการส่งออกยังพอช่วยประคองเศรษฐกิจไทยได้อยู่บ้าง

นอกจากปัจจัยการพื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพการลงทุนในช่วงที่ผ่านมานั้นหนีไม่พ้นการเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างที่ผมกล่าวไปก่อนหน้าว่าความสามารถ ในการฉีดวัคซีนของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน ประเทศพัฒนาแล้วที่มีโอกาสเข้าถึงและสามารถจัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ นั้นจะเห็นการฟื้นตัวที่เร็วกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา ส่งผลให้ภาพการฟื้นตัวในกลุ่มประเทศใหญ่นั้นเป็นไปได้เร็วจนเกิดเหตุการณ์ห่วงโซ่อุปทานที่ตึงตัวขึ้น (Supply shortage) จนนำไปสู่ต้นทุนการดำเนินงานและราคาสินค้าในหลายกลุ่มปรับตัวขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันทางเงินเฟ้อขึ้นมาจนธนาคารกลาง ต่างต้องออกมาให้สัญญาณ เปลี่ยนผ่านนโยบาย ทางการเงินจากผ่อน คลายมาเป็นเข้มงวด

พิจารณาจากสองปัจจัยนี้แล้วในปี 2565 ที่กำลังจะถึงนี้เราคงต้องให้น้ำหนักกับการติดตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นพิเศษ เพราะในประเด็นด้านนโยบายทางการเงินนั้นเป็นที่ทราบกันแล้วภายหลังการประชุม Fed เมื่อคืนวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่าเราจะได้เห็นการทำ QE Tapering และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ซึ่งจะกระทบสภาพคล่องและการประเมินมูลค่าหุ้นในทางลบ แต่ปัจจัยที่ยังคลุมเครืออย่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงเป็นความไม่แน่นอนอยู่เยอะ หลังจากมีการค้นพบเชื้อโควิด-19สายพันธ์ใหม่ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจึงเป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะชี้ทิศทางการลงทุน นอกจากนี้ประเทศไทยก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงปีก่อนการเลือกตั้งที่รัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระลงในช่วงต้นปี 2566 ปัจจัยทางการเมืองคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราต้องนำมาพิจารณาเช่นกันครับ