ทิศทางการลงทุนปี 2565

ทิศทางการลงทุนปี 2565

ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 การพบการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมากังวลอีกครั้งว่า 

หากสายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและมีผลรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกกลับมาหดตัวอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี รายงานเบื้องต้นระบุว่า สายพันธุ์โอมิครอนส่งผลกระทบต่อสุขภาพเพียงเล็กน้อย และมีผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า สายพันธุ์โอมิครอนอาจเป็นจุดสิ้นสุดของการระบาดของโควิด-19

ดังนั้น หากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ทิศทางการลงทุนในปีหน้าน่าจะมีแนวโน้มที่ดี โดยไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2565 จะขยายตัว 4.9% ชะลอลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 5.9% ในปีนี้ที่เติบโตจากฐานต่ำ ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วจะโต 4.5% ในปี 2565

ในขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะโต 5.1% ซึ่งเป็นการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สำหรับเศรษฐกิจไทย สภาพัฒน์ประเมินว่าจะขยายตัว 1.2% ในปีนี้ และโต 3.5-4.5% ในปี 2565

การที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตดี บ่งชี้ว่าการบริโภคมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในหลายภาคส่วน ตั้งแต่ภาคการผลิต ภาคขนส่งและบริการ ภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเครื่องจักรทางเศรษฐกิจกำลังจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง

ในวัฏจักรของการลงทุน ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว การลงทุนในหุ้นมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี เพราะผลประกอบการของบริษัทจะกลับมาเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่ผลประกอบการมักเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงบริษัทที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงของการระบาดของโควิด-19 อาจมีการพลิกฟื้นของผลประกอบการกลับมาเติบโตหลายเท่าตัวได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในหุ้นควรเลือกลงทุนเป็นรายตลาดหรือเป็นหุ้นรายตัว เพราะตลาดหุ้นบางประเทศฟื้นตัวมามากพอสมควรแล้ว และการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทต่างๆก็เป็นไปในอัตราที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่บางบริษัทที่อ่อนแอมาก ก็อาจไม่สามารถฟื้นตัวได้ 

ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้น นอกจากจะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว ยังอาจได้แรงหนุนเพิ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น มาตรการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐ มาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาล ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจฟื้นตัวพร้อมกันหลายประเทศ อาจส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากปัญหาการขาดแคลนอุปทานท่ามกลางอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้ผลิตส่วนใหญ่ไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต 

ดังนั้น ถึงแม้การลงทุนในหุ้นในปี 2565 มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดี แต่แนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ซึ่งถึงแม้หลังมีการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในอดีต แต่ก็อาจสร้างผลกระทบเชิงลบทางจิตวิทยาได้ อย่างไรก็ดี ตลาดอาจกลับมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งและผลประกอบการของบริษัทต่างๆก็น่าจะออกมาแข็งแกร่งเช่นกัน

สำหรับ ตลาดหุ้นไทยคาดว่าในปี 2565 จะเป็นปีที่ดี เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในอัตราที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหากการระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง และจีนอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ก็จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ในขณะที่ภาคการส่งออกน่าจะเติบโตได้แข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ในปีนี้ไทยประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆในด้านการส่งออก กล่าวคือ ปัญหาการขาดแคลนอุปทานและขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้บางโรงงานต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราว ดังนั้น หากปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี เศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาดมาก และส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยตลาดเริ่มตอบสนองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในปีหน้า

สำหรับทิศทางการลงทุนนี้เป็นเพียงการคาดการณ์แนวโน้มสำหรับปีหน้าบนสมมุติฐานว่าการระบาดของโควิด-19 มีทิศทางดีขึ้น หรือไม่แย่ไปกว่าเดิม ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประเมินความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้ก่อนการตัดสินใจลงทุน