“การลงทุนในยุคสับสน”

“การลงทุนในยุคสับสน”

เยอรมันระบาดเพิ่มขึ้นอย่างหนัก เฉลี่ยประมาณ 70,000 คนต่อวัน โรงพยาบาลรับมือไม่ไหว เตียงไอซียูเต็ม ผู้เสียชีวิตประมาณเกือบ 400 คนต่อวัน ยอดเสียชีวิตรวมแล้วประมาณ 102,500 คน

ผู้นำเยอรมันเตรียมประกาศบังคับให้ทุกคนฉีดวัคซีน ชาวเยอรมันประมาณ 68.7% รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน แต่ยังต่ำกว่า 75% ที่ตั้งเป้าหมายไว้

หลายประเทศในยุโรปกำลังเจอชะตากรรมเดียวกัน CDC จัดให้อยู่ในระดับสี่ของความเสี่ยง (Denmark, Austria, Britain, Belgium, Greece, Norway, Switzerland, Romania, Ireland & the Czech Republic) WHO ประเมินว่ายุโรปจะสูญเสียประชากร 2.2 ล้านคนจากโควิดภายในมีนาคมปีค.ศ.2022

ญี่ปุ่นงดรับชาวต่างประเทศ เดินทางเข้าเกาหลีใต้ต้องกักตัว 10 วัน ลาวกำลังจะเปิดฉลองรถไฟความเร็วสูง ไทยเตรียมพร้อมที่จะรับการลงทุนจากต่างประเทศ ตัวเลขการติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตบางประเทศเริ่มลดลง บางประเทศก็เพิ่มขึ้น จะเปิดหรือจะปิดประเทศอีกครั้งหรือไม่ นโยบายของแต่ละรัฐทำไมจึงต่างกันมาก

เรากำลังอยู่ในยุคแห่งความสับสน ทิศทางเปลี่ยนรวดเร็ว การดำรงชีวิตรวมทั้งการลงทุน ต้องใช้ความสามารถในการปรับตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

Omicron เป็นไวรัสโควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่ที่สร้างความเป็นห่วงทั่วโลก ตลาดหุ้นในสหรัฐเจอผลกระทบ นักลงทุนกำลังชั่งใจว่าจะเดินหน้าสู้ต่อหรือจะถอยมาตั้งหลัก บ้างขายหุ้นทิ้ง บ้างรีบซื้อเพราะราคาต่ำ Dow Jones industrial Average ร่วง 900 จุดภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีข่าวสายพันธุ์ใหม่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่แน่ใจว่าตลาดจะเป็นอย่างไรในเดือนธันวาคมนี้ บ้างก็เริ่มขายหุ้นทิ้ง เอาเงินสดเก็บไว้ก่อน เพราะกลัวราคาจะร่วงมากกว่านี้

ขณะเดียวกันหลายคนกลับเห็นตรงกันข้าม ว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะไม่เหมือนที่ผ่านมา เพราะเงินดอลลาร์อเมริกันกำลังจะไหลท่วมท้นเข้ากระแส จากการผ่านงบประมาณล่าสุดสองครั้ง รวมเป็นจำนวนที่กว่า 3.1ล้านล้านดอลลาร์ (สาธารณูปโภค 1.2 ล้านล้านดอลลาร์และฟื้นฟูสังคม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์)

เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งไทย ทำธุรกิจการเงินเกี่ยวพันโดยตรงกับอเมริกันดอลล่าร์ จึงคาดได้ว่าปริมาณเงินแทบทุกสกุลจะล้นตลาดเช่นกัน ปีหน้าค.ศ. 2022 ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ยอมรับกันแทบทุกวงการ US Federal Reserve แถลงสัปดาห์นี้ว่า พร้อมที่จะปรับนโยบายตามสภาวะเงินเฟ้อ ตลาดหุ้นตอบสนองด้วยการขายเททันที รุ่งขึ้นราคาหุ้นกลับฟื้นขึ้นมาอีก และมีทีท่าว่าจะทำลายสถิติ แต่ข่าวของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะมีล็อคดาวน์ และกระทบต่อวงจรการผลิตและขนส่งทั่วโลกอีกครั้ง ดัชนีหุ้นจึงวูบวาบระยะนี้

US Treasury Secretary Janet Yellen กล่าวในสภาผู้แทนฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมว่า ไวรัสกลายพันธุ์ตัวนี้ อาจสร้างปัญหาใหญ่ แต่หวังว่าจะไม่กระทบกระเทือนมาก และรัฐบาลกำลังวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการติดเชื้อเห็นพ้องกันว่า เรายังไม่รู้จักกับสายพันธุ์ใหม่ดีพอ น่าเป็นห่วงและต้องเพิ่มความระมัดระวัง แต่ไม่ควรกังวลเกินไป

รัฐบาลสหรัฐฯประกาศกฎใหม่ เริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 6 ธันวาคม ให้ผู้เดินทางโชว์ผลการตรวจเชื้อภายในหนึ่งวันก่อนเข้าอเมริกา (เปลี่ยนจากเดิมซึ่งดูผลตรวจในสามวัน) แสดงถึงความเป็นห่วงว่าสายพันธุ์ใหม่นี้ ซึ่งระบาดเร็วกว่าทุกรุ่น จะทำให้การติดเชื้อขยายเป็นวงกว้าง และจะสะเทือนระบบแพทย์และพยาบาล ที่ต้องรับมือจากปริมาณผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวย้ำว่าจะต้องเตรียมใจอยู่กับไวรัสนี้ให้ได้ เพราะจะกำจัดให้หมดสิ้นไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้ อเมริกาจะสู้กับสายพันธุ์ใหม่และสายพันธุ์อื่นๆที่ยังเป็นปัญหาเรื้อรังอยู่โดยไม่ปิดประเทศ หรือใช้มาตรการบังคับให้ปิดธุรกิจ เรื่องนี้คงเป็นเพราะความกดดันทางการเมือง เนื่องจากประชาชนจำนวนมากประสบปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัว และบางคนไม่ต้องการให้ใครมาจำกัดอิสรภาพ

การเลือกตั้งกลางเทอมของอเมริกาซึ่งจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันชุดปัจจุบันต้องระมัดระวัง

อเมริกาโหมประชาสัมพันธ์ให้มีการฉีดบูสเตอร์เข็มที่สาม รับมือฤดูหนาวนี้ ร้านขายยาหรือคลินิกต่างๆให้บริการฉีดวัคซีนโดยที่ไม่ต้องมีการนัดหมาย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

แม้ว่าวัคซีนในปัจจุบันจะไม่สามารถป้องกันโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ได้โดยตรง แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นคล้องจองกันว่าควรฉีดให้ครบอย่างน้อยสองเข็ม และหากมีโอกาศจะฉีดเข็มที่สามก็ควรจะทำ เพราะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการกลายพันธุ์ทุกสายได้มากพอสมควร

การใช้หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างในสังคม ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า และซื้อเวลาให้มีการผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าปัจจุบัน

บริษัทยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯประกาศว่า วัคซีนสูตรใหม่ที่จะออกมารับมือกับการกลายพันธุ์ Omicron นี้ จะใช้เวลาประมาณสามถึงหกเดือน ระหว่างนี้ทุกคนจึงต้องร่วมมือกัน ลดความเสี่ยงด้วยวินัย ป้องกันไม่ให้เป็นพาหะ

อาการป่วยตามที่มีรายงานมาจากแอฟริกาใต้ ระบุว่าผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงพอสมควรจะรักษาได้ แต่หากร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานน้อยหรือมีโรคประจำตัว ความเสี่ยงสูง และสร้างภาระให้กับแพทย์และพยาบาล

หลายประเทศรวมทั้งไทยมีความกดดันทางเศรษฐกิจ และกำลังเตรียมประชาสัมพันธ์เปิดประเทศ ให้มีการเดินทางติดต่อค้าขายภายในประเทศ และรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เข้ามาเพื่อกระตุ้นการบริโภค ตอนนี้คงต้องกลับไปพิจารณาอีกหลายรอบ

ท่ามกลางความสับสน ควรลงทุนในสิ่งที่เราศรัทธาและมั่นใจระยะยาว เลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่มีมาตรฐานสูงและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ราคาขึ้นลงระยะสั้นคงเป็นปกติ แต่เราเล็งผลระยะยาว และสำคัญที่สุดคือการลงทุนดูแลสุขภาพของเราโดยสม่ำเสมอ พร้อมรับทุกสถานการณ์ครับ