เงินปลิวมา คว้าไว้ดีไหม?

  เงินปลิวมา คว้าไว้ดีไหม?

ถ้าคุณขับรถบนทางด่วน แล้วรถขนเงินสดที่แล่นอยู่ข้างหน้าคุณ อยู่ดีๆประตูท้ายรถก็เปิดอ้าออกมา พร้อมกับถุงบรรจุเงินหลายถุง ปลิวออกมาจากรถ  ธนบัตรใบละ 50 100 และ 500 จำนวนมากมาย ปลิวว่อนออกมาจากถุง บางส่วนปลิวมาปะทะกระจกหน้ารถคุณ และอีกจำนวนมาก ปลิวไปตกลงบนทางด่วน  กระจัดกระจายเป็นพื้นที่กว้าง เพราะแรงลมพัด

สถานการณ์เช่นนั้น คุณจะทำอย่างไร

ขับรถไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่ธุระ หรือจอดรถชิดขอบทาง ลงไปช่วยรวบรวมธนบัตร หรือว่าจอดรถทันทีตรงกลางถนนนั่นแหละ เพราะโอกาสทองเช่นนี้หาไม่ได้อีกแล้ว รีบออกจากรถ ไปเก็บธนบัตรเท่าที่จะเก็บได้ และขับรถออกไปทันที

พร้อมรอยยิ้มอย่างมีความสุขว่า วันนี้ลาภลอย รวยขึ้นเยอะเลยเรา

คุณคิดว่า คนขับรถข้างๆคุณและข้างหลังคุณ เขาจะทำอย่างไร ลองทายดูสิครับ

 

นี่ไม่ใช่ปัญหาเชาว์ แต่เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง ไม่ได้เกิดในกรุงเทพฯหรือประเทศไทย แต่เกิดที่เมือง ซาน ดิเอโก้ รัฐแคลิฟอร์เนีย

รถคันนั้น กำลังขนธนบัตรไปส่งที่ธนาคารกลาง และธนบัตรที่ปลิวออกมามากมาย เป็นธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ และ 20 ดอลลาร์

คุณจะทายพฤติกรรมของคนขับรถ ได้ถูกต้องหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงคือ การจราจรบนทางด่วนติดขัดในพริบตา เพราะคนขับรถจำนวนมาก รีบจอดรถริมทางด่วน บางคนจอดกลางทางด่วน แล้วออกมาโกยธนบัตร เท่าที่จะทำได้ กลับขึ้นรถตัวเอง แล้วรีบขับออกไป

ซึ่งสะท้อนว่า มนุษย์จำนวนมาก ไม่ว่าในประเทศพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนา เมื่อเห็นลาภมิควรได้ ก็มีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างกันนัก ในนาทีนั้น ความโลภเข้าบังตา ตัดสินใจยึดมาเป็นของตนไว้ก่อน

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางด่วน ก็เข้าดูแลสถานการณ์ และควบคุมตัวผู้ทำความผิดได้จำนวนหนึ่ง พร้อมประกาศเรียกตัวผู้ที่หนีไปแล้ว ให้นำเงินมาส่งคืน เพราะ “เงินนี้ ไม่ใช่เงินของคุณ”

ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนมากทีเดียว ที่นำเงินกลับคืนมา ส่วนหนึ่งอาจสำนึกว่าไม่ใช่เงินของตน แต่ส่วนใหญ่ นำมาคืนเพราะความกลัว

ต้องกลัวสิครับ เพราะว่าตอนนี้ได้กลายเป็นคนดังไปแล้ว มีรูปตัวเองว่อนไปหมดในโซเชี่ยลมีเดีย!

สมัยนี้ ทุกคนเป็นนักข่าวได้ ลองนึกดูว่าบนทางด่วน นอกจาก​ CCTV ของทางการแล้ว ยังมีนักข่าวมือถืออีกมากมายเพียงใด คนขับรถที่ติดการจราจร ขับต่อไปไม่ได้ เขาก็ลงจากรถมาถ่ายภาพไว้

ดังนั้นหน้าตาของใครทั้งหลาย ที่กำธนบัตรเป็นฟ่อนๆ แล้วขับรถออกไปอย่างมีความสุขในวันนั้น จึงปรากฎให้เห็นทั่วไปหมด จากคน (ดี) ที่อาจไม่ค่อยมีใครรู้จัก กลายเป็นคน (ร้าย) ที่เพื่อนฝูงหรือเพื่อนบ้าน จำนวนมากมาย รู้จักขึ้นมาทันที

เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงโครงการรณรงค์ ที่ทำได้ค่อนข้างดี เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว นั่นคือโครงการที่รณรงค์ให้เด็กไทย รู้จักทิ้งขยะให้ถูกที่ถูกทาง โดยใช้ “ดวงตาดุๆ แต่น่ารัก" เป็นสื่อว่า “ตาวิเศษ เห็นนะ”

จำได้ว่ารณรงค์โดย สมาคมสร้างสรรค์ไทย ซึ่งคุณหญิงชดช้อย โสภณพณิช เป็นนายกสมาคมฯ ในขณะนั้น และผลักดันโครงการนี้อย่างกว้างขวาง โดยใช้สื่อสร้างสรรค์หลากหลายประเภท

ผมคิดว่า เด็กๆสมัยนั้น ซึ่งบัดนี้ คงอยู่ในวัย 40-50 ปีแล้ว จำนวนหนึ่งน่าจะติดนิสัยที่ดี ในการทิ้งขยะให้ถูกที่ถูกทาง

ผมเห็นด้วยกับการใช้ “ตาวิเศษ” เป็นสื่อในการรณรงค์ เพราะอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ถ้าหนูทำอะไรไม่ดี แม้ไม่มีใครเห็น แต่ตาวิเศษเห็นนะ” เพราะมนุษย์เรามีแนวโน้มว่า ถ้าหากไม่มีใครเห็น ก็อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีกฎกติกาสังคม กำหนดไว้มากพอสมควรว่า สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ และสิ่งไหนต้องไม่ทำ และมีบทลงโทษหนักบ้าง เบาบ้าง

อะไรที่ผิดกฎหมาย ต้องไม่ทำ และคนส่วนมากก็ไม่ทำอยู่แล้ว แต่ใครจะเผลอไปทำอะไร ในสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็อยู่ที่คนๆนั้นและบริบทของเรื่องนั้น เช่นระดับการศึกษา การอบรมสั่งสอนในครอบครัว และสถานการณ์ขณะนั้น เป็นต้น

เรื่องธนบัตรปลิวว่อนบนทางด่วน เป็นสถานการณ์เฉพาะหน้า คนขับรถแต่ละคนต่างตัดสินใจในวินาทีนั้น เราจึงเห็นพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป บางคนซึ่งปกติคงไม่ทำเช่นนั้น แต่พอสถานการณ์เอื้อและโอกาสอำนวย...ก็ทำ

ความจริง ถ้าคิดแว่บเดียวว่าไม่ใช่ของๆเรา ก็ไม่ทำแล้ว แต่หลายคนยังทำ ทั้งๆที่บนทางด่วน มีผู้คนเห็นเหตุการณ์มากมาย หรืออาจทำไปเพราะ... รๆเขาก็ทำกัน?

หรือลืมคิดไปว่า สมัยนี้ ที่ไหนๆก็มีตาวิเศษที่วิเศษจริงๆ และไม่ใช่แค่สติ๊กเกอร์ มีทุกมุมเมือง ไม่งั้นสารวัตรคนดัง จะจำนนต่อหลักฐานรึ

ถ้าเราพร่ำสอนลูกหลานเราอย่างดี สอนให้มีหลักคิด สอนให้มีสติ สอนให้เอาชนะความโลภ  และที่สำคัญคือ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แบบนี้ ต่อให้มีใครเห็นหรือไม่มีใครเห็น และไม่ต้องสนใจว่ามี CCTV หรือไม่ ลูกหลานเราก็คงจะ ไม่ทำ ในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร

เราเห็นกันบ่อยๆว่า ในสังคมญี่ปุ่น หนูน้อยชาวญี่ปุ่น ถูกสอนให้มีวินัยในเรื่องต่างๆอย่างมากมาย รวมทั้งเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตด้วย และทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ มีนิสัยซื่อสัตย์ จนคนทั่วโลกยอมรับ

แต่กระนั้น ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ที่กระทำการทุจริต ก็ยังมีให้เห็นบ่อยๆ

แล้วในสังคม ที่ไม่ได้พร่ำสอนเด็กและเยาวชน จนกระทั่งความซื่อสัตย์ กลายเป็นนิสัยของคนในชาติ อย่างญี่ปุ่น แถมผู้ใหญ่ยังทำตัว เป็นตัวอย่างของการโกงกินอีกด้วย.... แบบนี้มันมิยิ่งไปกันใหญ่รึ

พูดแล้ว อดเศร้าใจไม่ได้จริงๆ