So Smart So Small

รู้ไหมว่า…สมาร์ทโฟนในมือคุณ มีสมรรถนะมากกว่า คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่องค์การ NASA ใช้ในการส่งยาน อพอลโล่ 11 พานักบินอวกาศไปลงบนดวงจันทร์ เมื่อปี 1969 เสียอีก

สมรรถนะที่มีมากกว่ากันนั้น ไม่ใช่แค่ 10 เท่า 20 เท่า 100 เท่า หรือ 1,000 เท่า ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า มันมากกว่ากันถึง “นับล้านๆ เท่า” เลยทีเดียว!

รู้ไหมว่า…ถอยหลังจากไปอีก 23 ปี เมื่อปี 1946 มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และกองทัพอเมริกันได้ร่วมกันพัฒนา “คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์” เครื่องแรกของโลก มีชื่อว่า “อินิแอค”

“ENIAC” ย่อมาจาก “Electronic Numerical Integrator and Computer” เป็น คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ ทรานซิสเตอร์ มากถึง 18,000 หลอด เมื่อรวมอุปกรณ์ทุกชนิดแล้ว มีน้ำหนักมากถึง 30 ตัน และใช้พื้นที่ในการติดตั้ง มากถึง 140 ตารางเมตร

รู้แค่นี้…คุณก็น่าจะมีความสุขแล้วใช่ไหม ที่มีชีวิตอยู่ใน ยุคสมาร์ทโฟน ซึ่ง “So Small So Smart” ผมขอเรียกง่ายๆว่า “4s” จะดีไหม และถ้าหากผู้ใช้สมารทโฟนก็เป็นคนที่ “สมาร์ท” ด้วย ก็จะกลายเป็น “5s” ทันที!

สมาร์ททั้งเครื่อง สมาร์ททั้งคน

แต่รู้ไหมว่า… ถอยหลังไปนานถึง 2,000 ปี มนุษย์ก็มีคอมพิวเตอร์ใช้งานแล้วนะครับ ขนาดเล็กนิดเดียวด้วย

หน้าตาเป็นอย่างไร หาดูได้ที่ไหน ใครเป็นคนเก็บไว้ ถ้าอยากรู้ก็ตามมา ผมจะพาไปดู

คอมพิวเตอร์ที่เก่าที่สุดในโลก อายุมากกว่า 2,000 ปี มีชื่อว่า “กลไกแอนติคีทีร่า” (Antikythera Mechanism) สร้างขึ้นสมัยกรีกโบราณ บ้างก็บอกว่าประมาณ 87 ปี ก่อนคริสตกาล บ้างว่า 150-100 ปี ก่อนคริสตกาล

ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเวลา แต่ไม่ว่าจะสรุปอย่างไร ก็เกินกว่า 2,000 ปี ทั้งนั้นแหละครับ

กลไกคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้ มีขนาดเล็กเพียง 13.4 x 7.1 x 3.5 นิ้ว เท่านั้น และแค่ใช้มือขยับ กลไกของเครื่องที่ประกอบด้วย ฟันเฟืองโลหะหลายชิ้น เชื่อมโยงกันและกัน ก็จะทำงานร่วมกันแบบเป๊ะๆ

นักวิทยาศาสตร์สามารถหมุน และอ่านคำตอบได้เลยว่า อีก 5 ปี หรือ 10 ปี ข้างหน้า การโคจรของ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และตำแหน่งของดวงดาวต่างๆ จะเป็นเช่นใด

เครื่องซึ่งใช้คำนวณทิศทางการโคจร ของดวงดาวต่างๆในระบบสุริยจักรวาล ถ้าหากไม่เรียก “เครื่องคำนวณ” ที่ล้ำยุคในสมัยนั้น ว่า “คอมพิวเตอร์” แล้วจะเรียกว่าอะไรเล่าครับ?

แล้วเครื่องนี้อยู่ที่ไหน ใครกันหนอ ที่อุตส่าห์เก็บเครื่องมานานขนาดนี้

ผู้ที่เก็บเครื่องนี้ไว้ 2,000 ปี ไม่ใช่มนุษย์หรอกครับ แต่เป็น “มหาสมุทร” ที่ทนุถนอมเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ ให้ตกทอดมาถึงรุ่นเรา

เมื่อปี 1901 หรือ 120 ปีมาแล้ว นักดำน้ำชาวสเปน ได้ค้นพบซากเรือกรีกโบราณ ที่จมอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร บริเวณนอกเกาะ Antikythera ของกรีซ พวกเขากู้ทรัพย์สิน เช่นอัญมณี รูปปั้นหินอ่อน แจกัน ฯลฯ ที่จมอยู่กับเรือลำนี้ ขึ้นมาได้มากมาย

แต่มีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง เป็นโลหะเก่าๆและสึกกร่อน ที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร จนกระทั่งอีก 1 ปีต่อมา จึงค้นพบว่าโลหะชิ้นนั้น ข้างในเป็นฟันเฟืองหลายชิ้น ที่เคลื่อนไหวร่วมกัน คล้ายกับกลไกในนาฬิกาข้อมืออนาล็อก ที่เคลื่อนไหวหลังจากเรา “ไขลาน” นั่นแหละครับ

ยุคต่อมา เมื่อมีการพัฒนา เทคโนโลยี X-Ray แบบ 3D จึงทำให้ค้นพบว่า ชิ้นส่วนของกลไกนี้ ที่มีอยู่ทั้งหมด 82 ชิ้นส่วนนั้น บางชิ้นมีจารึกอักษรกรีกโบราณ ซึ่งระบุถึง “วิธีใช้” ไว้ด้วย ว่าจะใช้งานเครื่องนี้ได้อย่างไร!

 

 

ถือว่าเป็น Users’ Manual ชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ อายุยาวนานถึงกว่า 2,000 ปี เลยแหละครับ

เครื่องคอมพิวเตอร์ระบบอนาล็อก เครื่องแรกของโลกนี้ ถ้าอยากรู้ว่าจะไปดูของจริงได้ที่ไหน ตอบสั้นๆว่า ไปดูได้ที่ “พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ” ที่กรุงเอเธน ประเทศกรีซครับ แต่รอโควิดจางเสียก่อน ค่อยไปดูก็ได้นะครับ เพราะเครื่องนี้อยู่มา สองพันกว่าปีแล้ว ไม่หนีคุณไปไหนหรอก

การค้นพบเครื่องนี้ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีเทคโนโลยี ที่ So Smart So Small มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล แต่ด้วยเหตุใดก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์ ได้สะดุดหยุดไป

นักวิทยาศาสตร์บางคนคำนวณว่า ถ้าหากเทคโนโลยีสมัยนั้น ที่เห็นได้จากกลไกของเครื่องนี้ ไม่ได้สะดุดหยุดการพัฒนา และสามารถต่อยอดมาได้เรื่อยๆ มนุษย์อาจเดินทางไปถึงดวงจันทร์ ตั้งแต่ 300 ปี หลังจากนั้นแล้วก็ได้!

ผู้เชี่ยวชาญบางคน มีความเชื่อว่าเครื่องนี้ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ที่มีใช้ในยุคนั้น น่าจะมีอีก และอาจมีเทคโนโลยีที่แตกต่างออกไป แต่ถ้าถามว่าจะไปค้นหาได้ที่ไหน

คำตอบก็น่าตื่นเต้นมากครับ เขาบอกว่าที่เดียวที่อาจจะยังมีให้เห็น ก็ต้องอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรนั่นแหละ แปลว่าต้องค้นหาซากเรือลำอื่นๆ ที่จมอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรเมื่อก่อนคริสตกาล ก็อาจจะพบกลไกอะไรอีกที่เราคาดไม่ถึง

คอมพิวเตอร์อนาล็อกชิ้นนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี ฯลฯ ต้องคิดใหม่กันเลยทีเดียวครับ ในเรื่องของประวัติศาสตร์เทคโนโลยีของมนุษย์

แต่เอาเถอะครับ ถึงแม้จะเป็นไปได้ว่า เทคโนโลยีของมนุษย์สมัยสองพันปีก่อน ได้สะดุดหยุดลงด้วยเหตุใดก็ตาม แต่มาถึงวันนี้ มนุษย์เราก็สมาร์ท มากๆแล้ว เทคโนโลยีพัฒนาเร็วสุดๆอย่างเหลือเชื่อ

แต่ถ้าหากมนุษย์คิดแต่พัฒนาเทคโนโลยี โดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม ที่กำลังเลวร้ายไปเรื่อยๆ เพราะโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวน น้ำท่วมหนัก ไฟป่า ฝุ่นละออง ฯลฯ เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงยิ่งขึ้น ขืนปล่อยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ....

ความ Smart ของมนุษย์ ก็กลายเป็นความ Stupid ได้เหมือนกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Sent from my iPad